> SET >

02 มกราคม 2020 เวลา 08:45 น.

ส่องปีชวดลงทุนยาก VIเปิดคัมภีร์เลือกหุ้น

ทันหุ้น— นักลงทุน VI ประสานเสียง ตลาดหุ้นปีชวดเล่นยาก แต่ฟื้นตัวเล็กน้อย แนะปรับตัวเลือกหุ้นปลอดภัย ระดับ P/E ต้องไม่แพง มีการเติบโตอย่างมั่นคง แนะลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ พร้อมมองโอกาสไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ กระจายความเสี่ยง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) เปิดเผยกับ “ทีมข่าวทันหุ้น” ถึงมุมมองการลงทุนในปี 2563  ว่า ตลาดหุ้นไทยยังต้องมีความระมัดระวัง เนื่องจากมีปัจจัยที่ต้องจับตาทั้งภายนอกและภายใน แต่เชื่อว่าน่าจะฟื้นตัวขึ้นจากปี 2562 ได้เล็กน้อย เนื่องจากช่วงสองปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดีนัก จึงคาดว่าน่าจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างจำกัดในปีหน้า

ส่วนมุมมองที่ว่าตลาดหุ้นไทยยังต้องระมัดระวังนั้น เพราะว่าปัจจัยหลักยังไม่เอื้ออำอวย ระดับ P/E ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูง ราว 18-19 เท่า จึงถือว่าหุ้นไทยขณะนี้ค่อนข้างแพง

*ตลาดหุ้นต้องระมัดระวัง

สำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปี 2563คาดว่าจะไม่ดีนัก โดยเฉพาะกลุ่มหลัก เช่นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มพลังงาน ที่ผลประกอบการน่าจะยังชะลอตัว จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงจะชะลอตัว

ส่วนปัจจัยด้านการเมืองมองว่าน่าจะไม่มีอะไรที่ร้ายแรง และมองว่านักลงทุนน่าจะปรับตัวได้แล้ว ขณะเดียวกันปีหน้าแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันก็น่าจะน้อยลง และไม่มีเงินจากกองทุน LTF มาหนุน

*กลยุทธ์เลือกหุ้น

อย่างไรก็ดีแนะนำนักลงทุนเลือกหุ้น หุ้นที่มีความปลอดภัย (Defensive Stock) มีผลประกอบการมั่นคง มีการเติบโตต่อเนื่องระยะ 3-5ปี และไม่โดนคุกคาม (Disruption) จากเทคโนโลยี ที่สำคัญราคาหุ้นต้องไม่แพงมี P/E ไม่เกินระดับ 10 เท่า และต้องเป็นหุ้นที่มีปันผลในระดับที่สูงราวอย่างน้อยราว3%

“ปีหน้ามองว่าอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังต้องระมัดระวัง เพราะมีปัจจัยต้องติดตามทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงต้องเลือกลงทุนหุ้นรายตัว หรือ เป็นหุ้น Defensive ผลงานไม่ลงในระยะ 3-5 ปี  ไม่โดน Disruption และต้องราคาไม่แพง P/E ต่ำ และต้องเป็นหุ้นที่มีปันผลสม่ำเสมออย่างน้อย 3 % หรือมากกว่านั้นก็จะดีมาก”ดร.นิเวศน์ กล่าว

*ปรับตัวสู้ตลาดหุ้นยุคใหม่

ขณะที่ นายอนุรักษ์ บุญแสวงหรือ โจ ลูกอีสาน มีความเห็นทิศทางเดียวกันว่า ตลาดหุ้นค่อนข้างแย่มาแล้วช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆ อย่าง รวมไปถึงโครงสร้างนักลงทุนในตลาดหุ้นที่เปลี่ยนไป จากเดิมจะมีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยจำนวนหนึ่ง แต่ขณะนี้สัดส่วนนักลงทุนรายย่อยลดลงไปอย่างมาก มีแต่สัดส่วนนักลงทุนสถาบันที่เติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 25-30%ส่วนนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม

โดยตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ส่งผลต่อความสมารถการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนให้ลดลงด้วย รวมไปถึงตลาด E-Commerce ในต่างประเทศที่จะเติบโตอย่างรวมเร็วและมีโอกาสกระทบต่อสินค้าของไทยด้วย

จึงมองว่านักลงทุนจะต้องมีการปรับตัวเลือกลงทุนในหุ้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่มากขึ้น เพราะหุ้นขนาดเล็กจะค่อนข้างอ่อนไหวไปตลาดหุ้น และเมื่อผลประกอบการไม่ดีจะทำให้โดนแรงขายได้ แต่หุ้นขนาดใหญ่ในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ดีก็ยังสามารถประคองตัวได้ ทำให้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นลดลง

นอกจากนี้ยังแนะนำให้นักลงทุนมีการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศด้วย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันความสามารถในการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทยอาจจะไม่ได้สูงเท่ากับช่วงที่ผ่านมา โดยควรเน้นการลงทุนในดัชนีลักษณะเช่นเดียวกันกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) เพื่อให้สามารถเติบโตไปได้ มากกว่าการไปลงทุนในหุ้นรายตัว ที่อาจจะมีความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้รู้รายละเอียดในบริษัทนั้นๆ เพียงพอ เหมือนกับในประเทศไทย

โดยสรุปต้องวิเคราะห์พิจารณาอย่างรอบคอบในการลงทุนต่างๆ ในปีหน้าซึ่งจะมีความท้ายมายมากขึ้น แต่ที่จะเน้นย้ำใน 2 มิติคือต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่ยังมีการเติบโตดี และราคาหุ้นจะต้องไม่แพง ระดับ P/E จะต้องไม่เกิน 20 เท่า ซึ่งต้องหาจังหวะเข้าลงทุนอย่างเหมาะสมด้วย

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X