> SET > PTTEP

12 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 09:23 น.

ASL แนะทยอยซื้อ PTTEP เพื่อรับปันผล 3.75 บ. มี Div. Yield 3%, คาด Q1/63 ดีต่อเนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่ม

สำนักข่าว "ทันหุ้น" รายงานว่า บล.เอเอสแอล จำกัด แนะนำ “ทยอยซื้อ” บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP รับปันผล 3.75 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield ราว 3% โดยคาดการณ์ Q1/63 จะดีขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้รับ Sentiment เชิงบวก จากแนวโน้ม OPEC ขยายเวลาการลดกำลังการผลิตและมีโอกาสที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 1 ครั้งในปีนี้


ปี 2562 ผลประกอบการแกร่งกว่าที่คาด

PTTEP รายงานกำไรสุทธิปี 2562 ที่ 4.88 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 34.8%YoY จากการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการ G1/61(แหล่งเอราวัณ) และ G2/61 (แหล่งบงกช) ขณะที่การควบรวมกิจการตามกลยุมธ์ Expand-Execute ช่วยสร้างให้เกิด new S Curve ขึ้นให้กับบริษัท โดยการเข้าซื้อกิจการ Murphy ในมาเลเซีย และ Partexในโอมาน


นอกจากนี้การ FID (การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย) ในโครงการโมซัมบิก แอเรียวัน และแอลจีเรีย ฮาสสิเบอร์ ราเคช ส่งผลต่อยอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยยอดขายเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 350,651 บาร์เรลต่อวัน ขยายตัว 15%YTD ด้านราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 47.24 $/BOE แบ่งเป็น Gas ที่ระดับ 6.92 $/MMBTU เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 6.42 $/MMBTU ส่วน Liquid อยู่ที่ 61.18 $/BBL ลดลงจากปีก่อนที่ระดับ 67.40 $/BBL เนื่องจากอุปทานของ LNG ล้นตลาดและราคาน้ำมันดิบลดลง 


ส่วน Volume mix แบ่งเป็น Gas : Liquid เท่ากับ 71 : 29 ขณะที่ยังรักษาระดับของ Unit cost ตามเป้าที่ตั้งไว้ว่าไม่เกิน 32 $/BOE สำหรับปริมาณสำรองปิโตรเลียมสิ้นปี 62 เพิ่มขึ้นเป็น 1.140 ล้านบาร์เรล ทำให้ R/P (อัตราส่วนของปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วต่ออัตราการผลิต) อยู่ที่ 7.5 ปีตามเป้าที่ตั้งไว้


แผนการดำเนินงานในปีนี้เน้น Execute มากกว่า Expand

PTTEP ยังคงรักษาการเติบโตต่อเนื่องแต่จะไปเน้นในกลยุทธ์ด้าน Execution เป็นหลักเพื่อรักษาปริมาณการผลิต โดยการเปลี่ยนผ่านในโครงการ Murphy และ Partex สามารถทำงานกันเป็น single team ได้ และเร่ง FID โครงการซาราวัก เอสเค 410 บี รวมถึงเน้นสำรวจในมาเลเซียและเมียนมา เพื่อเพิ่มปริมาณสำรองในระยะยาว 


ส่วนโครงการ Gas to power ในพม่า กำลังการผลิต 600 MW ตอนนี้รอไฟเขียวจากรัฐบาลพม่า และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อเนื่อง เพราะเป้าหมายของรัฐบาลพม่าคือการให้ประชาชนเข้าถึงไฟฟ้าทุกคนภายในปี 2573-74 ซึ่งปัจจุบันเข้าถึงไดเพียง 50% จึงทำให้ PTTEP มีโอกาสในการขยายตัว อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหลังเลือกตั้งในปลายปีนี้จะเห็นความชัดเจนมากขึ้น


เป้า 5 ปี ผลประกอบการดีจากการเติบโต Sale Volume

PTTEP มีแผนขยาย Sales vol. เฉลี่ยที่ 6%CAGR โดยในปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 467 KBOED ภายใต้สมติฐานราคาน้ำมันดิบอยู่ในช่วง 60 +/- และอัตราการจ่ายปันผลราว 50% ของกำไรสุทธิ และค่าเงินบาทอยู่ในกรอบ 31 +/- ส่วนแผนการลงทุน 5 ปี มีส่วนของ CAPEX ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาเงินสดในมือปัจจุบันอยู่ที่  3 พันล้านบาท รวมกับเป้า CFO ที่ผู้บริหารตั้งเป้าไว้ราว 1.9 หมื่นล้านบาท หากหักกับการ financing และจ่ายปันผลไป 4 พันล้านบาท จะทำให้เหลือ Net cash ราว 3 พันล้านบาท สะท้อนถึงกระแสเงินสดี่มีอย่างเพียงพอโดยไม่ต้องกู้เลย ดังนั้นแนวโน้มของต้นทุนทางการเงินจะลดลง


ส่วนในปี 63 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเฉลี่ยที่ 391 KBOED จากการ shutdown 3 โครงการเพื่อซ่อมบำรุง แต่ยังคงขยายตัวจากปีก่อน ด้านราคาขาย Gas ลดลงมาที่ 6.4 $/MMBTU เนื่องจากจะได้รับผลกระทบ IMO ในชาวงครึ่งปีหลัง 2563 เป็นต้นไป ด้าน Unit cost ทรงตัวที่ระดับ 32 $/BOE ส่วน EBITDA margin จะอยู่ในกรอบ 70-75%


แนวโน้ม Q1/63 ยังเติบโตได้จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น

ประเมินแนวโน้ม Q1/63 ว่าผลประกอบการยังคงดีต่อเนื่อง (ขยายตัว QoQ โดยทาง PTTEP ประเมินปริมาณการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 394 KBOED ขยายตัวต่อเนื่องจากโครงการที่ควบรวมในปี 62 ซึ่งมาชดเชยกับระดับราคาขายเฉลี่ยของ Gas ที่ลดลงเป็น 6.8 $/MMBTU จากโมเมนตัมของอุปทานที่ยังล้นตลาดอยู่ที่กดดันราคา เนื่องจากมีกำลังการผลิตเข้ามาใหม่กว่า 44 ล้านตัน ซึ่งมาจากสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และรัสเซียเป็นหลัก ส่วน Unit cost ทางบริษัทยังคงรักษาที่ระดับเดิมราว 32 $/BOE ลดลงจาก Q4/62 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 34 $/BOE


แนะทยอยซื้อ รับปันผล ราคาปัจจุบันมี Upside 

เนื่องจากยังไม่ได้ Cover ในหลักหรัพย์นี้ จึงแนะนำในเชิงกลยุทธ์ให้ “ทยอยซื้อ” อิงราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus ที่ 146.6 บาท มี Upside ราว 16.8% โดยผลประกอบจะดีขึ้นตามการขยายกำลังการผลิตรวมถึงราคาที่ปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้ จะเริ่มฟื้นตัวจากช่วงต้นปี ที่มีประเด็นการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าจะกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลก และความต้องการใช้น้ำมัน ทำให้ภาพรวมของราคาน้ำมันดิบโลกอยู่ในลักษณะการปรับฐาน จึงประเมินว่ากลุ่ม OPEC มีแนวโน้มที่จะขยายเวลาการลดกำลังการผลิตต่อเนื่องจากเดิมที่จะสิ้นสุด 31 มี.ค. นี้ ซึ่งจะมีการประชุมวันที่ 5-6 มี.ค. และมีโอกาสที่จะมีการลดกำลังผลิตเพิ่มมากกว่าเดิมได้ ทำให้ Downside ของราคาน้ำมันเริ่มจำกัดลง เป็น Sentiment เชิงบวกต่อราคาหุ้น


นอกจากนี้ผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าที่คาด จึงส่งผลให้มีการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นโดยงงวดครึ่งหลังปี 2562 ได้ประกาศจ่ายปันผล 3.75 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. Yield ราว 3% ขึ้น XD วันที่ 13 ก.พ. 2563 และจ่ายเงินวันที่ 10 เม.ย. 2563 ทำให้ทั้งปีจ่ายปันผลรวม 6 บาท/หุ้น


ปัจจัยเสี่ยง

(-) ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง, ต้นทุนที่มากกว่าคาด, การตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น และการปิดซ่อมบำรุงนานกว่าแผน

(+)การปรับลดกำลังการผลิตของ OPEC

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X