> Trendtalk > TU

28 กุมภาพันธ์ 2020 เวลา 06:20 น.

TU

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้แนวต้านสำคัญที่ 1400 จุด หลังจากปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงไปทดสอบแนวรับที่บริเวณ 1350 จุด จากความหวังในการนำกองทุน LTF กลับมาใช้อีกครั้งตามการเสนอของสภาธุรกิจตลาดทุน ทำให้มีแรงซื้อเก็งกำไรในระยะสั้นกลับเข้ามาหลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยมีแนวต้านสำคัญที่ 1415 จุด ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1470 จุด


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ TU หรือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง และขยายธุรกิจให้ครบวงจรด้วยธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและอาหารว่าง โดยเน้นอาหารทะเล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ ธุรกิจการตลาดภายในประเทศ ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจพัฒนาสายพันธุ์กุ้งเพื่อจำหน่าย


ส่วนผลการดำเนินงานปี 2562 มีรายได้รวม 129,186 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,815 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.80 บาท กำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 61 ที่มีรายได้รวม 136,723 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,256 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.68 บาท

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ 5 ปี (ปี 63-67) บริษัทจะเน้นการสร้างการเติบโตของความสามารถในการทำกำไรให้เพิ่มขึ้น โดยวางเป้าหมายผลักดันกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นกลับไปสู่ระดับปกติที่เคยทำได้มากกว่า 5 พันล้านบาท/ปี


พร้อมทั้งผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นให้เพิ่มขึ้น จากการขยายตลาดสินค้ากลุ่มที่ให้มาร์จิ้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) ได้แก่ กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มอาหารสัตว์ และกลุ่ม Marine Ingredients เพื่อเพิ่มสัดส่วนการขาย โดยเฉพาะกลุ่ม Marine Ingredients ที่ตั้งเป้าในช่วง 5 ปีนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 5-10% จากปัจจุบันมีสัดส่วนน้อยมากไม่ถึง 10% ส่วนกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารสัตว์ ก็จะเพิ่มสัดส่วนการขายมากกว่าในปัจจุบันที่ 30% และ 25% ตามลำดับ


ขณะเดียวกัน จะบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการลดต้นทุนบางอย่างลงตามความเหมาะสม รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิผลที่ดี รวมไปถึงการลงทุนต่าง ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วง 5 ปีนี้ จะต้องเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่สูง มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 15-16% จะทำให้มีความสามารถทำกำไรที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20% จาก 16% ในปีก่อน


สำหรับการลงทุนในช่วง 5 ปีนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนไว้เบื้องต้นเฉลี่ยปีละ 5 พันล้านบาทสำหรับการลงทุนปกติ เพื่อสร้างโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มกำลังการผลิต ไม่รวมงบลงทุนสำหรับการทำดีลซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งในปี 63 จะใช้เงินลงทุน 5.5 พันล้านบาท และยังศึกษาการทำ M&A อยู่ต่อเนื่อง แต่ขึ้นอยู่กับโอกาสที่บริษัทเห็นว่ามีความน่าสนใจและเป็นดีลที่ให้ผลตอบแทนที่ดี


ด้านยอดขายในช่วง 5 ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายแตะ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเติบโตเฉลี่ย 3-5% ต่อปี ปัจจุบันการสร้างการเติบโตของยอดขายยังมีความท้าทายจากสถานการณ์ภายนอกที่ไม่แน่นอน และความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค ทำให้บริษัทไม่เน้นการสร้างยอดขายให้เติบโตมาก แต่หันไปเน้นการสร้างการเติบโตของกำไรแทน


สัดส่วนยอดขายของในแต่ละภูมิภาคช่วง 5 ปีนี้ คาดว่าจะยังคงมาจากสหรัฐฯ เป็นหลักสัดส่วนอยู่ที่ 41% ส่วนยุโรปหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและค่าเงินฟื้นตัวดีขึ้น สัดส่วนยอดขายจะปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 33% จากปัจจุบัน 28% และสัดส่วนของยอดขายในเอเชีย จะพยายามเพิ่มให้มากกว่า 12% เพราะยังมีโอกาสมากในการขยายตลาด แต่ปัจจุบันอาจจะเกิดการชะลออยู่บ้าง จากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิดในช่วงนี้


ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท แต่อาจจะส่งกระทบต่อภาพรวมหลังจากนี้ เพราะทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจที่จะออกมาข้างนอก ทำให้การจับจ่ายใช้สอยชะลอตัว ขณะที่แนวโน้มราคาวัตถุดิบทูน่าในปี 63 มองว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,500 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน จากกรอบ 1,300-1,600 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน สูงกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 1,270 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งส่งผลบวกต่อบริษัทในแง่ของยอดขาย


TU มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus อยู่ที่ 18.11 บาท โดยมีราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 20.40 บาท และมีราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 16.20 บาท

ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากแรงขายทำกำไรในระยะสั้น หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 16.00 ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีอยู่ระหว่างการปรับฐาน โดยมีแนวรับที่ 15.00-15.20 ถ้าหลุดจะมีแนวรับถัดไปที่ 14.00 แต่แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 17.00 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 18.00 ตามกรอบแนวโน้มขาลงในระยะยาว


สนใจบทความย้อนหลัง และเรื่องราวที่น่าสนใจ สามารถหาดูได้ในเพจ Teerasak Trendtalk

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X