ทันหุ้น- NER แจงทุกประเด็นสงสัย หลังออกเครื่องมือทางการเงินเพียบทั้ง ขอเพิ่มทุนมอบอำนาจทั่วไปเพื่อออก PP-แจกวอร์แรนท์-ขายหุ้นกู้ 2 พันล้านบาท-ออกตั๋วบี/อีอีก 1 พันล้านบาท ลั่นยังไม่ได้เพิ่มทุน แต่เตรียมเผื่อไว้เพื่อโอกาสดึงยักษ์เสริมเขี้ยว ส่วนวอแรนท์ตั้งใจตอบแทนจริง ขณะที่หุ้นกู้และตั๋วบีอี เตรียมไว้เผื่อการดำเนินงานโรงงานแห่งที่2และโรงไฟฟ้าชุมชน

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม ชี้แจงถึงมติคณะกรรมการที่เร่งออกเครื่องมือทางการเงินเป็นจำนวนมาก ทั้งการเพิ่มทุนเพื่อรองรับการแจกวอร์แรนท์ จำนวน 308 ล้านหุ้น  การขอเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ให้กับบุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 154 ล้านหุ้น รวม 462 ล้านหุ้น

การออกและเสนอขายหู้นกู้วงเงินรวมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท รวมไปถึงการขายตราสารหนี้ระยะสั้นในรูปแบบของตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange :B/E) ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท

โดยระบุว่า การที่บริษัทออกเครื่องมือทางการเงินจำนวนมากนั้นมีที่มาที่ไปทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนที่มีความกังวลกันมากนั้นคือ การขอเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป สำหรับบุคคลเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 154 ล้านหุ้น ประมาณ 10% ของหุ้นทั้งหมด นั้น เป็นเพียงการขออนุมัติเผื่อไว้เฉยๆ ยังไม่ได้มีแนวคิดการเพิ่มทุนในขณะนี้ ดังนั้นนักลงทุนจึงยังไม่ต้องกังวลเรื่องการไดลูท

สำหรับสาเหตุที่มีแนวคิดนี้เนื่องจากบริษัทได้ทำการค้าติดต่อกับลูกค้ารายใหญ่เสมอ จึงเตรียมเผื่อไว้หากมีลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการเข้ามาถือหุ้น ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ การเข้ามาจะทำให้บริษัทเข้มแข็งทางทั้งฐานการค้า ฐานลูกค้าส่งออก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นหากจะต้องไปรอการประชุมผู้ถือหุ้นขอเพิ่มทุนอาจจะช้าเกินไป ดังนั้นจึงต้องขอเผื่อไว้

“นักลงทุนมั่นใจได้ว่า จะได้ผลประโยชน์ พาร์เนอร์ไม่ดีจริง ไม่เอาเข้ามาอยู่แล้ว และที่คิดไว้อาจจะเสียสละในการนำหุ้นของผมมาขายก่อน แต่ถ้ามีความต้องการมากค่อยขาย PP”

ส่วนกรณีการออกวอร์แรนท์นั้นให้ฟรี 5 ต่อ 1 ราคาแปลง 1.80 บาท รวม 308 ล้านหน่วย เป็นการสมมนาคุณให้กับผู้ถือหุ้น บริษัทยืนยันว่าไม่ได้ต้องการเงินจากการเพิ่มทุน ซึ่งราคาแปลง 1.80 บาทนั้น เป็นราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับราคาในกระดาน จะเห็นได้ว่าขนาดตลาดหุ้นแย่ หุ้น NER ก็ไม่เคยหลุด 2 บาท จึงเป็นของสมนาคุณผู้ถือหุ้น นอกเหนือจากปันผล 0.14 บาท ซึ่งคิดเป็น ยีลด์ที่สูงอยู่ราว 6%

ส่วนเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อการขยายธุรกิจนั้น คือการขายหู้นกู้วงเงินรวมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท โดยในส่วนของ 2,000 ล้านบาท จะนำมารองรับกับการขยายโรงงานใหม่อีก 1.76 แสนตัน เกือบเท่าตัว ซึ่งจะต้องมีการสต็อกยางเป็นกลยุทธ์ของบริษัทในการป้องกันความเสี่ยงมาโดยตลอด

ส่วนที่เหลืออีก 1,000 ล้านบาท เพื่อรองรับกับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งบริษัทวางเป้าคว้าโรงไฟฟ้าสูงถึง 35-40 MW จะต้องใช้เงินทุน 3-4 พันล้าน โดยโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนมีเงื่อนไขต้องจ่ายไฟฟ้าปี 2565 ตอนนี้จะเข้าสู่กลางปี 2563 หากจะต้องไปรอธนาคารอนุมัติอีกอาจจะไม่ทันการ จึงต้องเตรียมเอาไว้ก่อน

นายชูวิทย์ สรุปว่า การที่บริษัทต้องเตรียมเครื่องมือทางการเงินไว้ ก็เพื่อรองรับกับการเติบโตของธุรกิจที่ยังมีโอกาสอีกมาก ท่ามกลางดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ซึ่งดอกเบี้ยขาลงยังเป็นประโยชน์กับบริษัทในการลดรายจ่ายดอกเบี้ยจาก 200 ล้านบาท เงินกู้ราว 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามบริษัทยืนยันที่จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ไม่เกิน 2 เท่า ซึ่งตามโมเดลของบริษัทเคยมีหนี้สินต่อทุนถึง 6 เท่าด้วยซ้ำ

สำหรับปี 2563ตั้งเป้ารายได้แตะ 21,000 ล้านบาท จากการขยายโรงงานผลิตยางแห่งที่ 2 นอกจากนี้บริษัทยังจะเพิ่มผลิตภัณฑ์แผ่นปูรองนอนสัตว์โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงวัว เริ่มในเดือนเมษายนนี้ รวมถึงการประมูลโรงไฟฟ้าชุมชน

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1