ทันหุ้น –สู้โควิด –EA เผยมีออเดอร์รถบัส-รถบรรทุกไฟฟ้ารอส่งมอบไตรมาส 3/2563 เพื่อชดเชยรถ MPV ที่คาดว่าจะส่งมอบช้ากว่าแผน หลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 พร้อมเดินหน้าส่งออก PCM เต็มสูบ เริ่มส่งออกตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ลั่นกำไรปีนิวไฮต่อเนื่อง รายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าหนุน มองโอกาสลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่ม ตั้งงบลงทุนรวม 7.38 พันล้านบาท

นางสาวออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากปีก่อน ที่มีกำไร 6.08 พันล้านบาท จากธุรกิจไฟฟ้าที่มีผลการดำเนินการที่ดี โดยโครงสร้างรายได้ปีนี้น่าจะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าราว 51%, ธุรกิจรถยนต์EV ราว 27%, ธุรกิจไบโอดีเซล ราว 17%, ธุรกิจกรีนดีเซลและ PCM ราว 4% และอีก 1% เป็นธุรกิจE-Ferry &Charging ซึ่งธุรกิจ EV มีสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญจากโครงการรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท

ทั้งนี้ธุรกิจโรงไฟฟ้ายังเป็นธุรกิจหลักที่สร้างกระแสเงินสดเข้ามาสม่ำเสมอ โดยบริษัทมีโครงการผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 278 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม ขนาดกำลังการผลิต 386 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์ ซึ่งไตรมาสแรกของปี 2563 จะผลิตกำลังไฟฟ้าเต็มที่ส่งผลให้มีรายได้ที่เข้ามาต่อเนื่องและยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีการศึกษาและเจรจาอย่างต่อเนื่องลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา

*ธุรกิจโรงไฟฟ้าแข็งแร่ง

ส่วนธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (รถยนต์ EV) ยอมรับว่าอาจจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 บ้าง จากเดิมที่บริษัทคาดว่าจะมีการจะมีการส่งมอบรถยนต์ประเภทรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป หรือ MPV ประมาณ 5 พันคัน แต่ขณะนี้อาจจะส่งมอบได้ลดลงเนื่องจากลูกค้าได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันทำให้การเจรจาการส่งมอบเลื่อนออกไปจากเดิมที่จะมีการเจราจาในช่วงเดือนมีนาคม

แต่ทั้งนี้บริษัทยังมีรถยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น คือ รถบัสไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าที่จะเข้ามาชดเชยรถ MPV ได้คาดว่าจะสามารถส่งมอบรถยนต์ได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2563 โดยโรงงานประกอบคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ส่วนสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้า EA Anywhere ก็ยังเดินหน้าติดตั้งต่อเนื่องทั่วประเทศ สอดคล้องกับที่ภาครัฐออกมาให้การสนับสนุนด้วย โดยบริษัทมีการจัดทำแอพพริเคชั่นที่สามารถตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของสถานีชาจน์ได้ ส่วนเรือE-Ferry ก็จะมีการทยอยส่งมอบต่อเนื่องคาดว่าไตรมาส 1/2564 จะส่งมอบได้ครบจำนวน 42 ลำ

สำหรับธุรกิจไบโอดีเซล ปีนี้อาจจะเห็นปริมาณขายลดลงไปบ้างจากการใช้งานรถยนต์ที่อาจจะลดลง แต่เชื่อว่าการผลักดันการใช้ B10 และB20 ก็น่าจะมาชดเชยยอดขายได้ ส่วนผลิตภัณฑ์สารเปลี่ยนสถานะหรือ Bio-PCM ที่เป็นนวัตกรรมและเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท สินค้าที่ผลิตได้จะเริ่มส่งออกตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป โดยตลาดหลักจะเป็นประเทศญี่ปุ่น

ด้านโครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 กิ๊กะวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี มูลค่าลงทุนประมาณ 5 พันล้านบาท ยังเดินหน้าการก่อสร้างต่อเนื่องคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้ จะเห็นได้ว่าธุรกิจของบริษัทยังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยขณะนี้ยังคงเป้ารายได้ไว้ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทจะมีการทบทวนแผนธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปี เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

*ปีนี้ลงทุน 7.38 พันล.

สำหรับงบลงทุนในปีนี้ บริษัทตั้งไว้ที่ 7.38 พันล้านบาท โดยเน้นน้ำหนักการลงทุนไปที่โครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 กิ๊กะวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี ราว 40% ใช้สำหรับการลงทุนใน E Ferry จำนวน 19%,รถยนต์ EV ราว 16% ส่วนที่เหลือจะเป็นธุรกิจอื่นๆ

ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมนำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท โดยจ่ายจากกำไรสะสมสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับส่งเสริมการลงทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,119 ล้านบาท คิดเป็น 28.63%ของกำไรสุทธิตามงบเฉพาะกิจการ พร้อมกับเตรียมที่จะเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการออกหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ถือเป็นการขออนุมัติไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นทางเลือกสำรองไว้สำหรับการปรับโครงสร้างทางการเงิน ชำระเงินกู้เดิมของบริษัทและใช้ในการดำเนินงานหรือเป็นเงินทุนและสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทในเครือ ทั้งนี้ขึ้นกับความเหมาะสมของสถานการณ์ในอนาคตอีกด้วย