> mai > BTW

31 สิงหาคม 2020 เวลา 13:24 น.

SNAPSHOT : BTW

BTW บริษัท บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน)


Company Background


ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัท เบสท์เทค แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นบริษัทแกน ประกอบธุรกิจให้บริการแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กและโครงสร้างเหล็ก ตามประเภทงานดังนี้


1) งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ (Modularization) เป็นการผลิตโครงสร้างเหล็กหรือระบบการผลิตของโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น เหมืองแร่ และ ก๊าซและปิโตรเลียม


2) งานแปรรูปชิ้นงานเหล็ก (Parts Fabrication) เป็นกระบวนการแปลงสภาพวัตถุดิบ เช่น เหล็กแผ่น เหล็กรูปพรรณ และท่อเหล็ก เป็นชิ้นงานโลหะตามแบบทางวิศวกรรม เช่น Piping System, Pressure Vessel and Storage Tank และ Structural Steel


3) งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าแบบครบวงจร (Power Plant EPC Contractor) เป็นผู้รับเหมาหลักของโครงการ ในการออกแบบทางวิศวกรรม จัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์ ก่อสร้างและบริหารโครงการ จนกระทั่งโรงไฟฟ้าสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ ให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าต่างๆ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน


Key Development of Company


2530 ก่อตั้งบริษัท เบสท์เทค แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแกนของกลุ่มบริษัท

2538 เปิดโรงงานแห่งแรกที่ จ. ฉะเชิงเทรา เพื่อให้บริการผลิตระบบท่อต่างๆในโรงไฟฟ้า

2540 รับงานแปรรูปชิ้นงานเหล็ก โครงการบำบัดน้ำเสียชางงี ประเทศสิงคโปร์ มูลค่างาน 23.1ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

2554 เปิดโรงงานใหม่ในพื้นที่ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ เพื่อรองรับงาน Modularization โครงการ Golar Winter Renovation of FSRU และ Peregrino FPSO โดยมีมูลค่ารวม 4.8 ล้านยูโร

2554-2558 รับงาน Modularization โครงการเหมืองแร่เหล็กขนาดใหญ่ ในออสเตรเลีย โครงการ Solomon Iron Ore และโครงการ Roy Hills มูลค่า 218.1 และ 105.6ล้านดอลลาร์สรอ.

2559 เข้าจดทะเบียนในตลาด เอ็ม เอ ไอ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2559

2562 รับงานงานโครงการผลิตโครงสร้างเหล็ก งานประกอบท่อโลหะ สายไฟและอุปกรณ์เป็นโมดูลเพื่อขนส่งไปประกอบเป็นโรงกลั่นใหม่ของบริษัทผลิตน้ำมันในประเทศ มูลค่า 1,289 ล้านบาท


Business Plan


กลุ่มบริษัทตั้งเป้ารายได้จากการรับจ้างผลิตใน 3 ปีข้างหน้าจะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10%ต่อปี ซึ่งกลุ่มบริษัทมีแผนธุรกิจที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ พร้อมกับดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและแปรรูปชิ้นงาน เพื่อลดต้นทุนและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า


ขยายงานสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ จากการที่กลุ่มบริษัทได้รับใบรับรองคุณภาพมาตรฐาน JIS-H Grade ในปี 2560ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการก่อสร้างโครงสร้างเหล็กสำหรับอาคารขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น


ขยายงานสู่ตลาดใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเข้าสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ในทวีปยุโรป และดำเนินการขยายฐานกลุ่มลูกค้าในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่กลุ่มบริษัทมีความชำนาญในการให้บริการมาอย่างยาวนาน

ขยายการลงทุนไปยังธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยกลุ่มบริษัทมองหาโอกาสในการลงทุนในรูปแบบต่างๆและการเข้าร่วมประมูลโครงการที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน


Investment Highlight


กลุ่มบริษัทมีงานรับจ้างผลิตเพิ่มเติมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่างานที่ยังไม่รับรู้รายได้หรือ Backlog ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563กลุ่มบริษัทมีมูลค่าโครงการที่อยู่ระหว่างผลิตหรือยอดขายที่รอรับรู้ (“Backlog”) รวมทั้งสิ้น 1,288 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่ได้รับและอยู่ระหว่างดำเนินการผลิตและรับรู้รายได้ในอนาคต ประกอบด้วยงานลักษณะ Modularization ซึ่งเป็นงานผลิตและประกอบท่อโลหะ สายไฟและอุปรณ์เพื่อนำไปติดตั้งของโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศ นอกจากนั้น กลุ่มบริษัทยังมีงานผลิตและประกอบโครงสร้างเหล็ก งานผลิตและประกอบท่อโลหะ งานผลิตและประกอบถัง สำหรับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

Risk Factor

ปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจและการป้องกันความเสี่ยงที่สำคัญ มีดังนี้


• ความเสี่ยงจากรายได้ที่ขึ้นกับโครงการที่ประมูลได้ (Project-Based Performance) กลุ่มบริษัทมีรายได้หลักจากงานโครงการที่ประมูลได้ ดังนั้นหากในอนาคตจำนวนโครงการที่เปิดให้ประมูลลดลง จะส่งผลให้มีความเสี่ยงจากการผันผวนของรายได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทใช้กลยุทธ์เชิงรุก เพื่อสร้างโอกาสในการประมูลโครงการใหม่ๆ อีกทั้งยังรักษาความสามารถการแข่งขันได้ด้วยคุณภาพระดับสากล ในราคาที่เหมาะสม และส่งมอบงานตรงเวลา ส่งผลให้กลุ่มบริษัทได้เข้าร่วมประมูลโครงการอยู่เสมอ นอกจากนี้กลุ่มบริษัทยังได้ดำเนินการขยายฐานลูกค้าและประเภทงานให้หลากหลายขึ้น เพื่อให้สามารถรักษารายได้ให้มีการเติบโตต่อเนื่องและรักษาอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในระยะยาว


• ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของกลุ่มลูกค้า กลุ่มบริษัทรับงานแปรรูปชิ้นงานเหล็กที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์กระทบต่อภาวะหรือการเติบโตของอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าในประเทศ จนเป็นเหตุให้ปริมาณงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าลดลง ก็อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่มบริษัทได้ อย่างไรก็ดี ด้วยศักยภาพของกลุ่มบริษัทในการผลิตงานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่จำกัดเพียงโครงการเหมืองแร่ หรือโครงการโรงไฟฟ้า กลุ่มบริษัทสามารถกระจายการรับงานไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ในอนาคต


BTWตุนแบ็กล็อกเต็มหน้าตัก

ร่อนเอกสารประมูลงาน5พันล.


ทันหุ้น - สู้โควิด – BTW ส่งซิกผลงานครึ่งปีหลัง 63 ติดเครื่องวิ่งต่อ ตุนแบ็กล็อกแน่น 1.3 พันล้านบาท เตรียมบุ๊กเข้าพอร์ต 500-600 ล้านบาท ร่อนเอกสารประมูลงานใหม่ 5 พันล้านบาท คาดชัดเจนไตรมาส 1/64 ใส่เกียร์ปั๊มมาร์จิ้น โชว์ครึ่งปีแรกโกยกำไรแล้ว 33 ล้านบาท ยันพื้นฐานแกร่ง


นายโชติก รัศมีทินกรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTW เปิดเผยว่า บริษัทประเมินภาพรวมผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 2563 จะดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เพราะบริษัทมีงานเดิมที่รอส่งมอบให้กับลูกค้าอยู่จำนวนหนึ่ง โดยมีงานในมือ หรือ Backlog อยู่ที่ราว 1.3 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในช่วงที่เหลือประมาณ 500-600 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มลูกค้าหลักคือธุรกิจน้ำมัน Oil&gas ประมาณ 80% และกลุ่มลูกค้าโรงไฟฟ้า และธุรกิจอื่นๆ รวม 20%


ตุนงานเต็มมือ


สำหรับแบ็กล็อกในมือส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ได้รับและอยู่ระหว่างดำเนินการผลิตและรอส่งมอบให้กับลูกค้า ประกอบไปด้วยงานลักษณะ Modularizationซึ่งเป็นงานผลิตและประกอบท่อโลหะสายไฟและอุปกรณ์เพื่อนำไปติดตั้งของโรงกลั่นน้ำามันแห่งหนึ่งในประเทศ นอกจากนั้นกลุ่มบริษัทยังมีงานผลิตและประกอบโครงสร้างเหล็กงานผลิตและประกอบท่อโลหะงานผลิตและประกอบถังสำหรับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ


ขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2563 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานสุทธิจำนวน 33.64 ล้านบาท เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562ซึ่งมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานสุทธิจำนวน 59.74 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายได้และกำไรมาจากกลุ่มประเภทงาน Modularization, HRSC, Vessel & Tank และงานกลุ่ม Construction & Erection เป็นต้น และจากการรับรู้รายได้จากโครงการใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งต้นทุนการรับจ้างและบริการที่รับรู้ช่วงแรกของโครงการนี้ส่วนใหญ่คือค่าจ้างแรงงาน


อีกทั้งในระหว่างปี 2563นี้บริษัทได้พยายามลดต้นทุนคงที่ต้นทุนค่าจ้างรวมถึงการต่อรองราคาวัตถุดิบลงจึงส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนการให้บริการลดลงจากปีก่อนและมีผลกาไรเพิ่มขึ้นในปีนี้


รอไทยเปิดน่านฟ้า


บริษัทประเมินทิศทางกลุ่มลูกค้าธุรกิจน้ำมัน Oil&gas โครงการอาจชะลอลง เนื่องจากปลายปีก่อน มาจนถึงต้นปีนี้ โครงการ Oil&gas ออกมาจำนวนมาก อย่างไรก็ตามบริษัทจะติดตามโครงการ หรืองานใหม่จากลูกค้าต่างประเทศ เพราะโครงการในประเทศชะลอตัว แต่หากประเทศไทยเปิดน่านฟ้า คาดนักลงทุนหรือผู้ประกอบการจะเดินทางเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศอย่างต่อเนื่อง และจะส่งผลต่อมาให้กับบริษัท


ปัจจุบันบริษัทยื่นเอกสารประมูลงานใหม่หลายโครงการมูลค่ารวมราว 5 พันล้านบาท คาดจะรู้ผลประมาณไตรมาส 1/2564 ทั้งนี้บริษัทประเมินปัจจัยต่างประเทศ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศตะวันตกและจีน จะเป็นผลบวกให้กับบริษัท ประกอบกับต้นทุนการดำเนินธุรกิจ เช่น ราคาเหล็ก น้ำมันดิบ จำนวนคู่แข่ง ปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลง คาดจะเป็นผลทางบวกให้กับบริษัท


เน้นเพิ่มมาร์จิ้น


นายโชติก กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้แบบ conservative หรือมีรายได้ใกบ้เคียงปีก่อน 1.44 พันล้านบาท โดยไม่เน้นการเติบโตของรายได้ แต่จะเน้นการทำมาร์จิ้นให้สูงขึ้น บริษัทจะพยายามหาลูกค้าเพิ่มขึ้นทั้งจากในและต่างประเทศเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างผลกาไรให้กับบริษัทในอนาคต และรองรับการผลิตในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงปีหน้า


ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าธุรกิจของบริษัทจะยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากมีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง อนึ่ง ปี 2562 บริษัทมีรายได้ 1.44 พันล้านบาท ขาดทุน 197.72 ล้านบาท ส่วน 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีรายได้แล้ว 814.41 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 33.51 ล้านบาท

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X