ทันหุ้น - TQM แย้มครึ่งหลังปี 2563 ติดเครื่องลุยเจาะตลาดประกันภัย และประกันชีวิตอย่างต่อเนื่อง ลุ้นครึ่งหลังปี 2563 ปิดดีล M&A ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างน้อย 2 ราย พร้อมผนึกกำลังตู้บุญเติมขายประกันผ่านตู้เวนดิ้ง หวังขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดเพิ่ม มั่นใจทั้งปี 2563 ทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย 1.5 หมื่นล้านบาท และยังคงเป้าหมายยอดขาย 5 ปี แตะ 5 หมื่นล้านบาท

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด บริษัทในเครือ บริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2563 นี้ บริษัทเตรียมผลิตภัณฑ์ใหม่รองรับการขยายความสามารถในการให้บริการด้านประกันภัยและประกันสุขภาพรูปแบบใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลครอบคลุมทุกความต้องการและการใช้ชีวิตของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เบื้องต้นคาดว่าจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างน้อย 1 รายการต่อเดือนนับจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี

ครึ่งหลังปิดดีลเพิ่ม

นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสในการสร้างการเติบโตให้ทั้ง Organic Growth และ Inorganic Growth เพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุน (JV) และการควบรวมกิจการ (M&A) กับโบรกเกอร์ประกันภัยที่มีศักยภาพ จำนวน 2 ราย ในประเทศกัมพูชาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เบื้องต้นคาดจะสามารถปิดดีลได้ภายในปี 2563 นี้ ทั้งนี้บริษัทมีแผนการลงทุนถือหุ้นสัดส่วนไม่น้อยกว่า 49% อย่างไรก็ดี ในตอนนี้เหลือเพียงรอการเปิดประเทศ จากนั้นจึงจะนำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีเข้าไปในประเทศดังกล่าว

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าในการเจรจา M&A กับผู้ประกอบการกิจการตัวแทนประกันภัย (โบรกเกอร์) ที่มีศักยภาพภายในประเทศ 2 ราย ในตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับทางผู้ประกอบการในด้านราคา รวมถึงสัดส่วนการถือหุ้นทำให้ไม่สามารถระบุรายละเอียดมูลค่าการลงทุนที่ชัดเจนได้ในขณะนี้ เบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปไม่เกินปลายปี 2563 เช่นกัน ในการขยายการลงทุนใหม่นั้นบริษัทยังคงนโยบายการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักและบริษัทดังกล่าวต้องมีผลตอบแทนที่ดี และสามารถช่วยต่อยอดธุรกิจได้

พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART ในการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านตู้บุญเติม ที่มีอยู่ 130,274 ตู้ มีฐานลูกค้ามากกว่า 21 ล้านรายทั่วประเทศ และมีปริมาณการทำธุรกรรมมากกว่า 1,500,000 รายการต่อวัน ซึ่งมองว่าในการสร้างความร่วมมือดังกล่าวจะสามารถทำให้บริษัทขยายฐานลูกค้า รวมถึงขยายช่องทางการขายประกันไปยังผู้บริโภคกลุ่มรากหญ้าในต่างจังหวัดได้มากขึ้น โดยที่บริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนเปิดสาขาใหม่เพิ่ม

ยอดขายแตะ1.5หมื่นล.

จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้บริษัทประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2563 ว่าจะมีทิศทางการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,570.40 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 342.25 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทยังคงเป้ายอดขายปี 2563 นี้ ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท จากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ที่ทำยอดขายได้แล้วกว่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่ายังมีการเติบโตที่ดีได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ตามการขยายความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้เพิ่ม

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายแตะ 50,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี (2563-2567) แบ่งออกเป็นยอดขายที่มาจากการโตภายใน 35,000 ล้านบาท และยอดขายจากการซื้อกิจการใหม่งอีกไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเฉลี่ยต่อปีบริษัทจะต้องมีการเติบโตไม่น้อยกว่า 15% จากปีก่อน และมีโอกาสเป็นไปได้มีสูง เนื่องจากสถิติการเติบโตโดยเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ประมาณ 16% ต่อปี