> Trendtalk > EGCO

16 กันยายน 2020 เวลา 06:10 น.

EGCO

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1280 จุดตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่ในระยะสั้น ทำให้แนวโน้มหลักยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1250 จุด โดยมีแนวต้านที่ 1300 จุด


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ EGCO หรือ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ (Holding company) ที่ประกอบธุรกิจ 1) ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งในฐานะรายใหญ่ (IPP-Independent Power Producer) และรายเล็ก (SPP-Small Power Producer) 2) ธุรกิจการให้บริการด้านเทคนิคการจัดการแก่โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ

บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 5,075 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 9.64 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 3,948 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 7.50 บาท


ในขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 63 มีกำไรสุทธิ 4,662 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 8.85 บาท กำไรลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 7,697 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 14.62 บาท


นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปี 63 จะทำได้ใกล้เคียงระดับ 1 หมื่นล้านบาทในปี 62 แม้ว่าในครึ่งปีแรกจะxiy[ลดลงราว 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาที่ 4.8 พันล้านบาท เป็นผลจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าบางส่วน และสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของบริษัท รวมถึงปริมาณน้ำที่น้อยส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในลาว ทำให้มีผลขาดทุน


อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวขึ้นจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีที่คาดว่าจะกลับมามีกำไรจากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นทำให้การผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น แม้จะยังมีซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพาจูในเกาหลีใต้ 1 ยูนิต และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี ในไทย อีกเล็กน้อย ขณะที่จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ที่จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) 2 โครงการในไตรมาส 4/63 ได้แก่ โรงไฟฟ้ากังดง ในเกาหลีใต้ 19.8 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมหยุนหลิน ในไต้หวัน เฟส 1 จำนวน 320 เมกะวัตต์


ทิศทางการลงทุนของบริษัทในระยะถัดไป มุ่งขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจทั้งด้านการผลิตและให้บริการด้านพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจไฟฟ้า ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และพลังงานหมุนเวียน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงให้ความสนใจลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนของภาครัฐด้วย โดยช่วงที่ผ่านมาได้เจรจากับวิสาหกิจชุมชนไว้แล้วในหลายพื้นที่ คงรอเพียงนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐต่อไป


ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมาได้เริ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเชื้อเพลิง ด้วยการเข้าถือหุ้น 44.6% ในบริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (TPN) ซึ่งทำธุรกิจบริการขนส่งน้ำมัน และเริ่มมองโอกาสขยายไปสู่ห่วงโซ่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือ LNG Value Chain เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก


ทั้งนี้ EGCO เตรียมยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) ต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในเร็ว ๆ นี้ โดยคาดหวังจะนำเข้า LNG เพื่อมาใช้ในโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท ในปริมาณราว 2 แสนตัน/ปี ซึ่งเป็นปริมาณก๊าซธรรมชาติส่วนที่เกินจากสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะยาวที่มีอยู่กับบมจ.ปตท. (PTT) โดยในส่วนนี้ก็จะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงทำให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้นด้วย


ปัจจุบัน EGCO มีโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว 28 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 5,475 เมกะวัตต์ และมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 331 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้ากังดง เริ่มเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/63 ,โรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเทิน 1 ในลาว เดินเครื่องผลิตในไตรมาส 2/65 และโรงไฟฟ้าพลังงานลม หยุนหลิน เดินเครื่องผลิตในไตรมาส 4/63 และไตรมาส 3/64


ขณะที่ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งเป็นการต่ออายุสัญญาของโรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจน ในจ.ระยอง ซึ่งเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP Replacement โดยโรงไฟฟ้าเดิมมีขนาด 120 เมกะวัตต์จะหมดอายุ และโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนจะมีกำลังผลิตราว 80-90 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำ EIA คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในต้นปี 65 กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 67


EGCO มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus อยู่ที่ 310 บาท โดยมีราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 337 บาท และมีราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 295 บาท

ราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังจากฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 296 และ 283 ในขณะที่โครงสร้างแนวโน้มขาลงมีแนวรับสำคัญที่ 190 จึงทำให้ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 200 ลงไปมีโอกาสฟื้นตัวทางเทคนิค จึงแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงเข้าใกล้แนวรับที่ 190 เพื่อคาดหวังการฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 220 และ 234 เป็นแนวต้านสำคัญ


สนใจบทความย้อนหลัง และเรื่องราวที่น่าสนใจ สามารถหาดูได้ในเพจ Trendtalk

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X