แก้ไข รธน. ยืดอีก 1 เดือน

- วันจันทร์ติดตามดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่น, การประมูลตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือน , 6 เดือน ของสหรัฐ

- วันอังคารติดตาม ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เวียดนาม (ปีต่อปี), ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เวียดนาม (ปีต่อปี), สินค้าคงคลังในกิจการค้าปลีกไม่รวมธุรกิจยานยนต์ ( ส.ค.)ของสหรัฐ, ปริมาณสินค้าคงคลังภาคการค้าส่ง (เดือนต่อเดือน) ของสหรัฐตลาดคาด-0.3%

- วันพุธติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน (ก.ย.)ตลาดคาด 51.2, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) (ปีต่อปี) (ก.ย.)ของยูโรโซน ตลาดคาด -0.2%, การเปลี่ยนแปลงในการจ้างงานภาคนอกภาคเกษตรกรรมจากเอดีพี (ADP) (ก.ย.)ของสหรัฐตลาดคาด600K

- วันพฤหัสติดตามดัชนีภาคการผลิตขนาดใหญ่จากการสำรวจ Tankan (ไตรมาส 3)ของญี่ปุ่นตลาดคาด-23, ดัชนี PMI ภาคการผลิต (ก.ย.)ของยูโรโซน ตลาดคาด51.7, อัตราการว่างงาน ( ส.ค.)ของยูโรโซน ตลาดคาด8.1%

- วันศุกร์ติดตามการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเอกชน (ก.ย.)สหรัฐตลาดคาด 913K, อัตราการว่างงาน (ก.ย.)สหรัฐ ตลาดคาด8.3%

หากนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนเป็นต้นมา เราพบว่าตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ช่วงการปรับฐานย่อย โดย MSCI world index ปรับตัวลงประมาณ 7% และหากมองเป็นรายกลุ่มพบว่า MSCI Growth Index ปรับลงมากกว่า 9-10% ในขณะที่ MSCI Value Index ปรับตัวลงเพียง 5% เป็นผลมาจากการขายกำไรกลุ่มเทคโนโลยี นำโดย NASDAQ100 ที่ หดตัว 13% นอกเหนือจาก Valuation ในเชิงเปรียบเทียบต่อหลักทรัพย์ที่สูงใกล้เคียงกับยุค Dot-com Bubble ในปี 2000 

อีกหนึ่งปัจจัยหนึ่ง คือ เริ่มเห็นในช่วงต้นเดือนกันยายนนั่น คือ sector rotation กลับมายังกลุ่ม Value ที่ laggard อยู่มาก ซึ่งส่วนหนึ่งของแรงขายทำกำไรกลุ่มเทคโนโลยี เราคาดว่าผู้จัดการกองทุนเริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 3พ.ย. ล่าสุดโพลระบุส่วนต่างคะแนนเสียง Biden ยังนำ Trump เฉลี่ยอยู่ประมาณ 9 คะแนน 

ลำดับถัดไปเราแนะดูการดีเบต 3 ครั้ง ในวันที่ 29 ก.ย. , 15 ต.ค. และ 22 ต.ค. ซึ่งสองในนโยบายหลัก คือ 1) การปรับเพิ่มภาษีนิติบุคคลขึ้นเป็น 28% (จากเดิมที่ Trump ปรับลดลงมาจาก 35% เป็น 21%) กดดันกลุ่มเทคโนโลยีถือเป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้ประโยชน์สูงสุด และนำเงินส่วนหนึ่งมาซึ่งมาซื้อหุ้นคืนและจ่ายปันผลพิเศษ ยกตัวอย่างเช่น Apple ในช่วงปี 2018-2019 ก่อนเกิด COVID-19 ได้ใช้เงินซื้อหุ้นคืนมากกว่า 7.3 และ 6.7 หมื่นล้านเหรียญ ตามลำดับ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะเมื่อเทียบกับก่อนช่วงลดภาษีที่ระดับ 3.0 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และปันผลสูงถึง 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ 

2)นโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาดและการเตรียมทำข้อตกลงใหม่กับอิหร่าน อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ laggard อย่าง Vaccine play ที่เดิมเราคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาพัก กลับเผชิญกับแรงกดดันภายหลังเริ่มเห็นการล่าช้าของการแถลงผลการทดลองระยะที่สามของ Astrazeneca และอื่นๆ ประกอบกับการกลับมาเร่งตัวขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในยุโรป เช่นในสเปน,อังกฤษ และฝรั่งเศส ล่าสุดบางประเทศเริ่มกลับมาปิดเมืองบางส่วน (partial lockdown) ถือเป็นปัจจัยกดดันและราคาน้ำมันเช่นเดียวกัน ในระยะสั้นภาพดังกล่าวเป็นปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์อีกครั้ง ล่าสุดปรับขึ้นที่ 94.4 (+2.2%MTD)

สำหรับตลาดหุ้นหากประเมินจากสถิติตลาดหุ้นสหรัฐปีการเลือกตั้งในอดีตนับตั้งแต่ปี 1950 พบว่าจะแกว่งผันผวนในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. เมื่อเทียบกับก.ค.-ส.ค.ที่มีทิศทาง sideway up ซึ่งในปีนี้เรามีมุมมองสอดคล้องกับสถิติและประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะแกว่งผันผวนเพื่อรอดูนโยบายจากการดีเบต ก่อนทราบผลลัพธ์อย่างเป็นทางการในช่วงวันที่ 3 พ.ย. 

สำหรับตลาดหุ้นไทย เราคาดในช่วงที่เหลือก่อนการเลือกตั้งจะแกว่งกรอบ -0.25 ถึง -0.5SD หรือคิดเป็นกรอบ 1,200-1,260จุด ของส่วนต่างผลตอบแทนตลาดหุ้นและพันธบัตรหรือ EYG(%) เช่นกัน คาดนักลงทุนส่วนมากจะชะลอแรงซื้อจาก 1) รอดูทิศทางผลประกอบการ 3Q20 จากการ preview ของนักวิเคราะห์และแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีหน้าจากผู้บริหาร 

2) นอกเหนือจากกลุ่มพลังงานที่มีมูลค่าหลักทรัพย์สูงสุดในตลาดอิงกับราคาน้ำมันดิบที่ยังถูกกดดันแล้ว กลุ่มธนาคารก็ยังถูกกดดันและรอดูว่าภาครัฐและธปท.มีขยายเวลามาตรการพักชำระหนี้หรือไม่ ? จากกำหนดการเดิมที่จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม รวมถึงโอกาสในการกลับมาจ่ายปันผลในช่วงครึ่งปีหลัง 

3) ปัจจัยการเมืองในประเทศ หลังเมื่อคืนที่ผ่านมาที่ประชุมสภาไม่สามารถโหวต 6ญัตติแก้ไขร่างรธน. พร้อมเสนอให้ตั้งกมธ.ศึกษาการแก้ไข (คะแนนเสียง 431 : 255 และงดออกเสียง 28 เสียง) เป็นเวลา 1เดือน

มุมมองตลาดหุ้น สัปดาห์หน้าคาด SET แกว่งในกรอบ 1,200-1,260จุด

SAT พื้นฐาน 14.5 บาท

ASIAN พื้นฐาน 15 บาท