> Trendtalk > OSP

09 ตุลาคม 2020 เวลา 06:20 น.

OSP

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องค่อนข้างแข็งแกร่งเข้าใกล้แนวต้านของกรอบแนวโน้มขาลงที่ 1280-1285 จุด ถ้าสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะเป็นสัญญาณสิ้นสุดการปรับฐาน และมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1350 จุด แต่ถ้าปรับตัวลดลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1270 จุด จะมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1250 จุด   


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ OSP หรือ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้ ตราสินค้า เช่น เอ็ม-150 ลิโพ เป็นต้น เครื่องดื่มเกลือแร่ และกาแฟพร้อมดื่ม และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลภายใต้ตราสินค้าเบบี้มายด์ และทเวลฟ์พลัส รวมทั้งธุรกิจให้บริการผลิตสินค้า บรรจุภัณฑ์ และจัดจำหน่ายสินค้า  

บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 804 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.27 บาท กำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 710 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.24 บาท


ในขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 63 มีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.58 บาท กำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีกำไรสุทธิ 1,599 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.53 บาท


OSP ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 ทำกำไรสุทธิ 804 ล้านบาท จากรายได้รวมจากการขาย 5,909 ล้านบาท เครื่องดื่มบำรุงกำลังคว้าส่วนแบ่งเกินคาดรวม 55.6% สวนกระแสปัจจัยลบโควิด-19 กลุ่มฟังก์ชันนอลดริงก์ยังเติบโตได้สวย เครื่องดื่มวิตามินซีแบรนด์ซี-วิตทำสถิติยอดขายสูงสุด 99 ล้านขวดรับเทรนด์สุขภาพ วางกลยุทธ์เติบโตต่อในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยการส่ง 'ซี-วิต' รุกตลาดทั้งในและต่างประเทศ และเปิดสายการผลิตโรงงานเครื่องดื่มในเมียนมาร์ พร้อมตอบแทนผู้ถือหุ้นโดยประกาศอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น


นายธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยว่า แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค ตลอดจนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทฯ มีจุดแข็งจากการมีพอร์ตสินค้าที่หลากหลายและศักยภาพในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ได้อย่างตรงจุดและทันต่อสถานการณ์ แม้รายได้รวมจากการขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา การดำเนินงานที่ยืดหยุ่นและความสามารถในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่าย ทำให้กำไรยังคงเติบโตได้ดี โดยมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2563 (เมษายน-มิถุนายน 2563) อยู่ที่ 804 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2%


แม้ภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังปรับตัวลดลงมากกว่า 10% บริษัทฯ สามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังสูงสุดในรอบ 3 ปี เป็น 55.6% เนื่องจากผู้บริโภคหันมาหาแบรนด์ที่ตนเชื่อมั่นในช่วงที่ต้องใช้จ่ายอย่างรอบคอบ โดย เอ็ม-150 ยังคงครองความเป็นผู้นำตลาด สำหรับเครื่องดื่มกลุ่มฟังก์ชันนอลดริงก์ (Functional Drink) นั้น ยังคงเติบโตรับกระแสการดูแลสุขภาพของผู้บริโภค โดยเฉพาะเครื่องดื่มวิตามินซีแบรนด์ ซี-วิต นั้นทำยอดขายสูงสุดถึง 99 ล้านขวด จากการเพิ่มกำลังการผลิตได้ในไตรมาส 2 ซึ่งเร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะสร้างเสร็จในไตรมาส 3 ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 33.9% นอกจากนี้ สลิมม่า เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใยอาหาร แอลคาร์นิทีน และวิตามินบี ช่วยลดการดูดซึมและเผาผลาญไขมันมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงได้ขยายเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายทางโมเดิร์นเทรด หลังจากได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี หลังเปิดตัวผ่านช่องทางออนไลน์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา


นอกจากนี้ โรงงานผลิตเครื่องดื่มในประเทศเมียนมาร์ได้เริ่มเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ช่วยส่งเสริมศักยภาพการทำตลาดและอัตราการทำกำไรต่อหน่วยที่ดีขึ้น ส่วนการขยายโรงงานผลิตเครื่องดื่มในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น ช่วยเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นมากกว่า 15% และสนับสนุนแผนการส่งออกผลิตภัณฑ์แบรนด์ ซี-วิต ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอีกด้วย ความพร้อมของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ และผลจากโครงการ Fit Fast Firm ที่คาดว่าจะบริหารค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนการดำเนินงานได้มากกว่าแผน เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างการเติบโตระดับสองหลักในช่วงครึ่งปีหลังตามแผนที่วางไว้


OSP มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus อยู่ที่ 42.31 บาท โดยมีราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 50.00 บาท และมีราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 33.00 บาท

ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคในระยะสั้นหลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 35.00 แต่การปรับตัวลดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 40.00 ลงไป ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 33.00 และ 30.00 เป็นเป้าหมายในการปรับตัวลดลง โดยมีแนวต้านสำคัญสำหรับการฟื้นตัวที่ 38.00 เป็นจังหวะขายออกไปก่อน


สนใจบทความย้อนหลัง และเรื่องราวที่น่าสนใจ สามารถหาดูได้ในเพจ Trendtalk

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X