ทันหุ้น-บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ BCP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ไตรมาส 3/63 ขาดทุน 647.02 ล้านบาท ผลประกอบการลดลง 275% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 369.80 ล้านบาท แต่ผลประกอบการดีขึ้น 66% จากไตรมาส 2/63 ที่ขาดทุน 1,910.72 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายและบริการในไตรมาส 3/63 อยู่ที่ 33,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 2,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 145% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำส่งผลกระทบต่อความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ ของบริษัทร่วม OKEA ทำให้มีการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 1,003 ล้านบาท
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/63 ว่ามีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันเริ่มฟื้นตัว หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น แต่หากเทียบกับปีก่อน ความต้องการใช้น้ำมันลดลงอย่างมากและยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่จากโควิด-19 ขณะที่ผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ชีวภาพยังคงเติบโตต่อเนื่อง ช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกยังคงทรงตัวและมีความผันผวน จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 2 ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป จนทำให้ต้องประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง คาดว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์การ
ใช้น้ำมันชะลอตัวลง เป็นปัจจัยกดดันให้ค่าการกลั่นทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งกระทบกับธุรกิจโรงกลั่น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจการตลาดมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเริ่มฟื้นตัว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ นอกจากนี้มาตรการด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการประกาศวันหยุดพิเศษ หรือนโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประเภทพิเศษ คาดว่าจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น
ด้านผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในไตรมาส 3/2563 เริ่มจาก กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ยังคงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมัน และค่าการกลั่น โดยจะเห็นได้จากค่าการกลั่นพื้นฐานในเดือนมิถุนายนที่ 6.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ในเดือนกันยายนปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.89 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำให้ในไตรมาสนี้มีค่าการกลั่นพื้นฐาน 2.33 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล – ดูไบ (GO/DB) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนการผลิตมากที่สุด ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการต้นทุนในการผลิต โดยการจัดหาน้ำมันดิบได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาดจากผู้ค้าน้ำมันที่สต๊อกน้ำมันไว้ในช่วงที่ราคาถูก อีกทั้งมีการปรับสัดส่วนการผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ช่วยเพิ่มค่าการกลั่น รวมทั้งได้ปรับเพิ่มกำลังการผลิตมาอยู่ที่ระดับ 95,300 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 79% ของกำลังการผลิตรวมของโรงกลั่น
นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ธุรกิจโรงกลั่นมี Inventory Gain (รวมกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ(NRV)) จำนวน 269 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น ในส่วนของธุรกิจการค้าน้ำมันโดยบริษัท BCP Trading จำกัด มีธุรกรรมการซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันเพิ่มขึ้นในขณะที่กำไรขั้นต้นปรับลดลง โดยหลักๆ มาจากกำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันเตาเกรดกำมะถันต่ำตามมาตรการ IMO ปรับลดลง เนื่องจากอุปทานในตลาดปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับอุปสงค์ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากการแพร่ระบาดของโควิด-19
กลุ่มธุรกิจการตลาด ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 มี EBITDA 766 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการจำหน่ายในส่วนของตลาดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ ได้มีการผลักดันการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ด้านตลาดอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบหลักจากความต้องการใช้น้ำมันเครื่องบินที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ค่าการตลาดรวมสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนการจำหน่ายผ่านช่องทางค้าปลีกที่มีค่าการตลาดสูงกว่าการจำหน่ายผ่านตลาดอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น ในไตรมาสนี้มี Inventory Gain จำนวน 3 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการสะสมเดือนมกราคม – กันยายน 2563 อยู่ที่ 15.6%
กลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ผลการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้นจากการที่บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ได้ขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ ทำให้มีปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้น 78% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 227% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ มาจากการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว ช่วงฤดูฝน
ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ ประกอบกับการเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยจำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 20 เมกกะวัตต์ โดยการลงทุนนี้ช่วยชดเชยผลกระทบจากการเข้าสู่ฤดูฝน นอกจากนี้ ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนเนื่องจากไม่มีการหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น และมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท BCPG ได้อนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนด้วยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 1.3 พันล้านหุ้น คาดว่าจะได้เงินทุนเพิ่มราว 1.02 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี นอกจากนี้เงินเพิ่มทุนบางส่วนจะถูกนำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมที่มีอยู่ ทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
**โบรกฯ แนะซื้อ
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) แนะนำซื้อหุ้น BCP โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 20.40 บาทต่อหุ้น โดยผลประกอบการไตรมาส 3/63 ที่ขาดทุน 647 ล้านบาท เนื่องจากถูกกระทบจากการตั้งด้อยค่า 1.0 พันล้านบาท ในธุรกิจสำรวจและผลิต แต่ถ้าไม่รวมรายการนี้พบว่ามีกำไร ซึ่งมาจากกำไรสต็อก 272 ล้านบาท, ปริมาณและค่าการตลาดธุรกิจ
น้ำมันค้าปลีกดีขึ้น และผลประกอบการธุรกิจพลังงานทางเลือกฟื้นตัว แต่ค่าการกลั่นยังอ่อนแอมาก
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/63 คาดว่าการฟื้นตัวของอุปสงค์น้ำมันและราคายังไม่แข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้ว่าระยะสั้นจะมี Sentiment ดีขึ้นหลังมีข่าวความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของกลุ่มไฟเซอร์ และค่าการกลั่นโดยรวมยังคงถูกกดดันจากการ Lockdown รอบใหม่ในหลายประเทศ และคาดว่าในปี 2564 ผลประกอบการจะพลิกกลับไปเป็นกำไรสุทธิ และจ่ายปันผลได้ โดยคาดอัตราการจ่ายปันผลในปี 2564 ไว้ที่ 4%
อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม