> Trendtalk > IRPC

20 พฤศจิกายน 2020 เวลา 06:10 น.

IRPC

ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้แนวต้านที่ 1375-1380 จุด ก่อนที่จะถูกขายทำกำไรมาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1370 จุด ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงในการปรับฐานไปทดสอบแนวรับที่ 1350 จุด ถ้าหลุดจะมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1330 และ 1310 จุด


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ IRPC หรือ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทดำเนินธุรกิจ 1) ธุรกิจปิโตรเลียม โดยมีโรงกลั่นน้ำมันอยู่ที่ จ. ระยอง เพื่อผลิตและจำหน่าย น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน และน้ำมันเตา เป็นต้น 2) ธุรกิจปิโตรเคมี ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีอื่นๆ จำหน่ายให้ผู้ประกอบการนำไปเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกสำเร็จรูปชนิดต่างๆ 3) ธุรกิจท่าเรือและถังเก็บผลิตภัณฑ์ ให้บริการท่าเทียบเรือเพื่อขนถ่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานสากล 4) ธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินในส่วนที่เป็นที่ดินเปล่า


บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 1,555 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.08 บาท กำไรเพิ่มขึ้น  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่ขาดทุนสุทธิ 1,320 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.06 บาท


ในขณะที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 63 ขาดทุนสุทธิ 7,759 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.38 บาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่มีขาดทุนสุทธิ 660 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.03 บาท

นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 IRPC มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,937 ล้านบาท (8.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้น 6% จากการที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ ABS ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสไตรีนิคส์ ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าจากประเทศจีนปรับตัวสูงขึ้นแม้ว่าต้นทุน crude premium ปรับตัวสูงขึ้น และส่วนต่างราคากลุ่มปิโตรเลียมส่วนใหญ่ยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19


การดำเนินงานในไตรมาส 3/63 ราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนจากความร่วมมือในการลดกำลังการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตในโอเปกและนอกกลุ่มโอเปก รวมถึงความต้องการบริโภคน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ IRPC มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 3,770 ล้านบาท หรือ 6.67 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 8,707 ล้านบาท หรือ 15.41 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3,949 ล้านบาท หรือ 83%


ดังนั้น จึงส่งผลให้ IRPC มีกำไรสุทธิ 1,556 ล้านบาทในไตรมาส 3/63 เทียบกับไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 411 ล้านบาท


สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/63 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาส 3/63 โดยมีปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันราคาจากการบริโภคน้ำมัน ที่คาดว่าจะสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวปลายปี คาดว่าจะหนาวกว่าปกติ และการที่กลุ่มโอเปกได้แสดงเจตนารมณ์ในการควบคุมการผลิตเพื่อรักษาสมดุลตลาด รวมถึงการลดลงของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลง


บริษัทเน้นการผลิตสินค้ากลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA: High Value Added Products) สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีโดยในปัจจุบันสัดส่วนการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty grade) อยู่ที่ 13% และมีเป้าหมายเพิ่มการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เป็น 30% ในปี 2567 โดยจะเน้นไปที่เม็ดพลาสติกเกรดที่ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ และเม็ดพลาสติกชนิดความหนาแน่นสูงและทนทานมากกว่าโพลิเอทิลีนทั่วไป 10 เท่า หรือ UHMW-PE (Ultra High Molecular Weight Polyethylene) ที่นำไปใช้ในงานผลิตแผ่นกั้นแบตเตอรี่ (Battery separator) ข้อเข่าเทียม เชือกลากจูงเรือ เป็นต้น


สำหรับความก้าวหน้าของโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ "สวนโซลาร์ลอยน้ำ IRPC" ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าขนาด 12.5 เมกกะวัตต์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทุ่นโซลาร์ลอยน้ำผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE (High Density Polyethylene: โพลีเอทิลีนที่มีความหนาแน่นสูง) เกรดพิเศษสีเทา จะช่วยลดอุณหภูมิใต้แผงโซลาร์เซลล์ ส่งผลให้ระบบผลิตกระแสไฟฟ้ามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถรีไซเคิลได้ และรับประกันอายุการใช้งานของวัสดุไม่ต่ำกว่า 25 ปี


ทั้งนี้ IRPC มีโครงการขยายกำลังการผลิตพลาสติก ABS อีก 6,000 ตัน/ปี คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ และสามารถทำการผลิตได้ในต้นปีหน้า จะทำให้ IRPC มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษเพิ่มขึ้นด้วย


IRPCC มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus อยู่ที่ 2.62 บาท โดยมีราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 3.20 บาท และมีราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 2.00 บาท

ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านของกรอบแนวโน้มขาขึ้นที่ 2.80 หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 2.50 หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิมแล้วสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นไปได้ ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 3.00 แต่ถ้าปรับตัวลดลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 2.78 จะมีแนวรับถัดไปที่ 2.50


สนใจบทความย้อนหลัง และเรื่องราวที่น่าสนใจ สามารถหาดูได้ในเพจ Trendtalk

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X