> กองทุน >

23 กุมภาพันธ์ 2021 เวลา 16:26 น.

บลจ.กสิกรไทยปั้นAUMโต7% เกาะเทรนด์โลกโอกาสลงทุน

ทันหุ้น-บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าปี 2564เติบโต 7%โดยมุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนรวม เชื่อเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แนะกระจายลงทุนตามเทรนด์โลกในอนาคต


นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การวางระบบเทคโนโลยีในช่วงที่ผ่านมาเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เป็นผลทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้เร็วและแม่นยำมากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการลงทุน ที่จะนำไปสู่การแนะนำแผนการลงทุนที่เหมาะสม และสร้างโอกาสให้กับผู้ลงทุน ทำให้ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินไหลเข้าบลจ.กสิกรไทยอยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท


ในภาพรวมปี 2563 บลจ.กสิกรไทยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 1.40 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 1.04 ล้านล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.96 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.69 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งตลาดจำแนกตามธุรกิจอยู่ที่ 74%, 14% และ 12% ตามลำดับ โดยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก AIMC ณ ธ.ค. 63)


ปักธง AUM โต7 %

ขณะที่ปี 2564 บริษัทตั้งเป้าเติบโต 7% โดยมุ่งรักษาความเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนรวม ด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิมผ่านการแนะนำกองทุนที่เหมาะสมกับภาวะตลาด ขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านการเปิดเสนอขายกองทุนตามความไลฟ์สไตล์และเทรนด์โลก รวมถึงพัฒนาช่องทางการลงทุนดิจิตอล โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่บน App K-My Funds เพื่อให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการวิเคราะห์และบริหารจัดการกองทุนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด


ช่องทางออนไลน์ลูกค้าแน่น

ทั้งนี้ที่ผ่านมากระแส Digital Disruption ในอุตสาหกรรมกองทุนถือว่ามาช้ากว่าธุรกิจการเงินอื่นๆ อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ได้ปรับตัวรองรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยใช้ช่องทางดิจิตอลเป็นหลัก เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอล (Digital-based Users) มีประมาณกว่า 74% จากจำนวนลูกค้าที่มีธุรกรรมทั้งหมดในปีที่ผ่านมา รวมเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 4.40 แสนล้านบาท ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้ตั้งเป้าจำนวนลูกค้าที่ลงทุนผ่านช่องทางดิจิตอลเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 64


กองทุนต่างประเทศเด่น

นายวศินกล่าวต่อไปว่า แม้ในปีที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นอย่างมาก แต่ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มสนใจย้ายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF) กันมากขึ้น และคาดว่าความสนใจจะมีต่อเนื่องไปในปีนี้ โดยให้น้ำหนักกับ 2 ธีมการลงทุน 


ได้แก่ 1) ธีม New Normal การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในวงกว้าง เช่น การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการศึกษานอกสถานที่ โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Health Care), อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) และการศึกษาออนไลน์ (Edutainment) เป็นต้น


และ 2) ธีมสองมหาอำนาจ สหรัฐฯและจีนต่างมีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯยังเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลากหลายสัญชาติ มีน้ำหนักสูงถึง 46% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่จีนมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีการบริโภคภายในประเทศที่ค่อนข้างสูง รวมถึงมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี 


ทั้งนี้ สำหรับกองทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality Growth และ High Potential for Recovery จากความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต


ชูกองทุนเด่น

โดย บลจ.กสิกรไทย แนะนำเติบโตตามเทรนด์โลกผ่าน 6 กองทุนต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนเปิดเค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน (K-CHANGE) กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) และกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) กองทุนผสม ได้แก่ กองทุนเปิดเค โกลบอล อินคัม (K-GINCOME) กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ กองทุนเปิดเค สตาร์ หุ้นทุน (K-STAR) และกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส (K-FIXEDPLUS)   

จัดพอร์ตตามความสามารถรับเสี่ยง

โดยผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนต่างประเทศ 70% กองทุนหุ้นไทย 25% และกองทุนตราสารหนี้ 5% ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรให้น้ำหนักลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ 65% กองทุนต่างประเทศ 25% และกองทุนหุ้นไทย 10% ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน จะลดความผันผวนและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุนได้


ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว จากความสำเร็จในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีน การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินและการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับอานิสงส์จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ New Normal ทั้งการใช้ในชีวิตประจำวัน ความบันเทิง และการทำงาน ส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีความแข็งแกร่ง 


นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนเอเชียรวมถึงไทย โดยหากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรในบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาดสามารถซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูงได้


คาดดัชนี 1,600 จุด

"คาดว่า SET Index ปลายปีจะปรับขึ้นแตะ 1,600 จุด ภายใต้ความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากเห็นความชัดเจนในการแจกจ่ายวัคซีน และการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่จะสนับสนุนการส่งออกของประเทศ” นายวศินกล่าว

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X