ทันหุ้น - SKE วางหมากปี 65 รายได้ทะยาน 30% จากปี 64 รับเก็บเกี่ยว RDFพุ่ง-บุ๊กขายไฟเต็มพิกัด แถมล่าสุดเซ็นขาย RDF ล็อตใหญ่ 4 แสนตัน กินยาวต่อเนื่องไปถึง 3 ปี รวมถึงเดินหน้าปั้นโรงงานผลิตเชื้อเพลิงจากขยะที่แก่งคอย สยายปีกรับทรัพย์เพิ่ม

นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สากล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ SKE เปิดเผยว่า ในปี 2565 เบื้องต้นบริษัทประมาณรายได้ไว้เติบโต 30% เมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากธุรกิจจะมีการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่กระทิง (MKP)เข้ามาเต็มปี หลังช่วงปี 2564 ได้มีการปิดปรับปรุงโรงไฟฟ้าในส่วนดังกล่าวประมาณ 30 วัน

เก็บเกี่ยวMKPเต็มพิกัด

ส่วนทิศทางผลประกอบการปี 2564 ทาง SKE ยังคงประมาณการรายได้จะใกล้เคียงปีก่อนที่มีรายได้รวม 533.66 ล้านบาท หลังช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทที่มีรายได้รวม 382.20 ล้านบาท เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ปริมาณการใช้ก๊าซ NGV ลดลง

ทั้งนี้ โครงการ MKP นั้นปัจจุบันมีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ราว 9.9 เมกะวัตต์ และมีสัญญาขายไฟ 8 เมกะวัตต์กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในอัตราเฉลี่ยที่ 4.62 บาทต่อหน่วย ภายใต้อายุสัญญาเป็นเวลา 20 ปี (เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบใน ช่วงสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา)

“ในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมาเราได้มีการปิดปรับปรุงโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่กระทิงเพิ่มเติม ซึ่งกินระยะเวลาประมาณ 30 วัน ทำให้รายได้จากโรงไฟฟ้าของบริษัทในส่วนนี้หายไปพอสมควร แต่ในปีนี้จะไม่มีการปิดซ่อมในส่วนดังกล่าว รวมทั้งเราได้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้น เชื่อน่าจะทำให้รับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าของ MKP ในปี 2565ได้ดียิ่งขึ้นด้วย”

ขณะที่ธุรกิจการผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะ (RDF) ล่าสุดทางบริษัทย่อยของ SKE คือ บริษัท เอ็น15 เทคโนโลยี จำกัด (N15 Technology ) ได้มีการเซ็นสัญญาซื้อขายเชื้อเพลิงแข็งจากขยะให้กับทางบริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด “SCIeco” ระยะเวลา 3 ปี หรือคิดเป็นปริมาณการซื้อขายเชื้อเพลิง RDF มากกว่า 400,000 ตัน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทมีแนวคิดลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเชื้อเพลิงขยะ RDF ในอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านบาทนั้นจะขายให้บริษัท เอส ซี ไอ อีโค่ เซอร์วิสเซส จำกัด ประมาณ 70% ของกำลังผลิตทั้งหมด ส่วนอีก 30% ของกำลังการผลิตที่เหลือจะขายให้กับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และโรงไฟฟ้าขยะในประเทศไทย ที่ยังคงมีความต้องการอยู่มากในปัจจุบันขนาดกำลังการผลิต 580 ตันต่อวัน หรือประมาณ 200,000 ตันต่อปี ซึ่งประเมินว่าจะสามารถก่อสร้างเสร็จและรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งหลังปี 2565

รุกขยายฐานRDF

นายจักรพงส์ กล่าวเสริมว่า หากแผนการขยายธุรกิจในส่วนต่างๆ สำเร็จตามที่วางไว้ ทาง SKE คาดสัดส่วนรายได้ของในปี 2565 จะปรับเปลี่ยนเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าประมาณ 50%, ธุรกิจการผลิตและขายเชื้อเพลิงจากขยะราว 25% และที่เหลือมาจากส่วนอื่นๆ

ขณะที่แนวทางการดำเนินธุรกิจในระยะยาว บริษัทยังมุ่งให้ความสำคัญกับการทยอยลดสัดส่วนธุรกิจการอัดก๊าซธรรมชาติ (NGV) หลังความต้องการใช้ลดลงต่อเนื่อง อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้ยกเลิกสัญญาจ้างอัดก๊าซกับทาง SKE โดยมีจะหันมาขยายฐานธุรกิจในส่วนของผลิตเชื้อเพลิงแข็งจากขยะให้มากขึ้น หลังความต้องการ RDF ยังขยายตัวค่อนข้างมาก เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต ตลอดจนยังหาโอกาสในการขยายธุรกิจไฟฟ้าต่อไปอีกทางหนึ่งด้วย