19 มิถุนายน 2022 เวลา 11:00 น.
สวัสดีครับท่านนักลงทุน ภาวะการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงนับว่าปรับตัวลงแรงไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหลักต่างๆ ทั่วโลกรวมไปถึงเหรียญคริปโตต่างๆ หลังเงินเฟ้อสหรัฐประจำเดือนพ.ค. ออกมาในระดับสูงถึง 8.6% yoy ทำจุดสูงสุดในรอบ 40 ปี สร้างความกังวลต่อการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ทั้งนี้ SET เช่นเดียวกัน โดยปัจจัยกดดันหลักดังกล่าว กดดันดัชนีลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1600 จุด ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. แม้การประชุมรอบล่าสุด ยังคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับ 0.5% อย่างไรก็ตาม มีคณะกรรมการถึง 3 ท่าน ที่เห็นควรในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่การส่งสัญญาณของกนง.ในครั้งถัดไป แสดงถึงโอกาสที่มากในการขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้น จากนี้ไปเราสามารถพูดได้แล้วนะครับว่าดอกเบี้ยเข้าสู่ขาขึ้นแล้ว เช่นเดียวกับธนาคารกลางอื่นๆ ที่เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน
ดังนั้น คอลัมน์ฉบับนี้ ผมได้นำบทวิเคราะห์ของ SCBS ที่มีมุมมองผลกระทบของดอกเบี้ยขาขึ้นต่อตลาดและหุ้นในกลุ่มต่างๆ สรุปได้ดังนี้ครับ 1) มุมมองต่อเศรษฐกิจ โดยคาดเงินเฟ้อจะทำจุดสูงสุดใน 3Q65 ที่ 8% ก่อนปรับลดลงไปแตะ 2% ในปลายปี 2566 ส่วน GDP ไทยจะเร่งตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใน 4Q65 ที่ 4% ก่อนจะชะลอลงในปี 2566 ทำให้ GDP ปี 2565-2566 เติบโต 3.4% และ 3.0% ตามลำดับ และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับขึ้น 1-2 ครั้ง ไปอยู่ที่ 0.75-1% ขณะที่ปี 2566 อาจปรับขึ้นได้ 3-5 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยไปทำจุดสูงสุดที่ 1.5-2%
2) มุมมองต่อตลาดหุ้น จากข้อมูลในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นไทยชอบการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าลดดอกเบี้ย โดยช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ตลาดมีแนวโน้มตอบสนองเชิงบวกหลังปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-3 เดือน ซึ่งเรามองว่า 2H65 เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาพฟื้นตัว ทำให้การขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้จะไม่ส่งผลลบกับเศรษฐกิจมากนัก ซึ่งจะสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์พื้นฐานของ SCBS ที่ประเมินว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยปีนี้จะไม่ได้กระทบอย่างมีนัยฯ ต่อประมาณการกำไรปีนี้ของแต่ละอุตสาหกรรม เพราะ บจ. ส่วนใหญ่ได้ล็อกต้นทุนการเงินปีนี้ไว้แล้ว
3) มุมมองต่อหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ผ่านการวิเคราะห์ Sensitivity พบว่า ภายใต้ดอกเบี้ยขาขึ้น กลุ่มที่ได้ผลบวกมากสุด ได้แก่ หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ (KTB KBANK BBL) และหุ้นประกัน (BLA) ส่วนกลุ่มที่ได้ผลลบมากสุด (เกิน 5%) ได้แก่ หุ้นที่มีพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อสูง (THANI AEONTS MTC TISCO KKP) และ หุ้นที่มีภาระหนี้สินสูง อาทิ กลุ่มอาหาร กลุ่มขนส่งบก กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงไฟฟ้า (CPF BTS BEM CRC CPALL BGRIM) และ 4) มุมมองด้านกลยุทธ์การลงทุน ภายใต้เศรษฐกิจที่อยู่ในภาพการฟื้นตัว ซึ่งคาดการขึ้นดอกเบี้ยจะมีผลกระทบจำกัดและตลาดจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ ซึ่งสอดคล้องกับสถิติในอดีตที่ SET Index จะปรับตัวขึ้นหลังมีการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเศรษฐกิจยังเติบโต
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “หาจังหวะซื้อสะสม” สำหรับ 1) หุ้นธนาคารขนาดใหญ่อย่าง KTB KBANK BBL และหุ้นประกันอย่าง BLA ซึ่งคาดราคาหุ้นจะตอบสนองเชิงบวกต่อการขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาดของ ธปท. และยังเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรช่วง 2Q-4Q65 ปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ และ 2) หุ้นท่องเที่ยวอย่าง AOT AWC ซึ่งแม้ได้รับผลลบจากดอกเบี้ยขาขึ้นบ้างแต่ยังจำกัด ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีนี้คาดจะเห็นภาพผลประกอบการที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ
ปิดท้ายที่มุมมองแนวโน้ม SET ซึ่งผมคาดว่าระดับต่ำกว่า 1600 จุด มีความน่าสนใจในการเข้าซื้อสะสม หรือคาดว่าบริเวณแนวรับ 1580 และ 1560 จุด ตามลำดับ คาดว่าเป็นจุดรองรับได้ โดย SET มีโอกาสฟื้นตัวกลับจากแนวรับดังกล่าว ดังนั้น การปรับลงของดัชนีในช่วงนี้ นับว่าเป็นโอกาสอันดี ในการเข้าซื้อสะสม เนื่องจากในช่วง Q4/65 คาดว่า ตลาดที่ซึมซับการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว จะทำให้ SET ปรับตัวขึ้นได้ดี ทำให้หากไม่ซื้อตอนนี้ จะไปซื้อตอนไหน จริงไหมครับ …และพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
APP ทันหุ้น ANDROID คลิก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม