เจาะหุ้น "TOP" เด่น-ดิ่ง สตอรี่ควรรู้!!

TOPน้ำมันเจ็ทพร้อมดีด กำไรสต๊อกโผล่ครึ่งหลัง

เช็ก TOP น่าช้อปไหม ?

#TOP #ทันหุ้น - บล.ทรีนีตี้ จำกัด ส่องหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP คาดกำไร Q2/65 ทำ New High 2.1 หมื่นล้านบาท คงคำแนะนำ ซื้อ แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 67 บาท อิง Avg PBV ที่ 0.95 เท่า แนวโน้ม 2H65 ค่าการกลั่นเริ่มชะลอตัว

ประเมิน Q2/65 กำไรโต 888%

ทั้งนี้ คาด TOP จะรายงานกำไร Q2/65 สูงถึง 2.1 หมื่นล้านบาท +888% เท่า YoY ,+ 192% QoQ ซึ่งมาจากกำไรจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และกำไรพิเศษจากการขาย GPSC กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ถ้าคิดเฉพาะกำไรปกติที่ไม่รวมกำไรพิเศษ และ Stock gain กำไรปกติคาดว่าจะอยู่ราว 1.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับ Q2/65 คาดว่าจะเป็นกำไรที่ดีสุดในปีนี้ จาก 1)ปริมาณเข้ากลั่นอยู่ที่คาดว่าจะอยู่ราว 300kbd คิดเป็นอัตราการใช้ที่ 110% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ตามความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปที่ยังอยู่ในระดับสูง 2)ธุรกิจโรงกลั่น Market GRM เพิ่มขึ้นมาเป็น USD20/bbl จากไตรมาสก่อนที่ USD6.4/bbl จากผลของ supply disruption และ demand ของน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้น 3)ธุรกิจ Aromatic และ Lube base คาดว่าจะมี GIM ที่ USD1.3/bbl ทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดย Aromatic จะยังอ่อนตัวจาก supply ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ Lube base ปรับดีขึ้นจาก seasonal demand 4) คาด Stock gain จะอยู่ราว 6.5 พันล้านบาท 5)Hedging loss 1.2 พันล้านบาท จากที่บริษัททำ Hedging crack spread 6)Fx loss ราว 1 พันล้านบาท จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

ผ่านจุดที่ดีที่สุดค่าการกลั่นไปแล้ว

ฝ่ายวิจัยคาดว่าค่าการกลั่นได้ผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้ว โดยค่าการกลั่นไปอยู่ระดับสูงสุดกว่า USD25-30/bbl ส่วน 2H65 ค่าการกลั่นคงจะอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ USD10-15/bbl ซึ่งจะทำให้กำไรในแต่ละไตรมาสของ TOP จะอยู่ราว 5-8 พันล้านบาท ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้นเป็น 4 หมื่นล้านบาทจาก GRM ที่สูงผิดปกติ และรายการพิเศษอื่นๆ ที่เกิดขึ้น แต่ยังคงประมาณการปี 2566 ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท

ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 67 บาท

ปรับราคาเป้าหมายปี 2565 ลงมาเป็น 67 บาท อิง Avg PBV 0.95 เท่า (เดิม +0.5 SD ที่ 1.1 ) ซึ่งมีมุมมองที่ Conservative มากขึ้นจากแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ และค่าการกลั่นอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว 3 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลดลง 7% โดยมีช่วงเวลาที่ปรับขึ้นไปสูงสุดกว่า 10% ซึ่งฝ่ายวิจัยเชื่อว่าได้ price in ผลของแนวโน้มกำไรที่น่าจะเป็นจุดสูงสุดไปแล้ว ด้านปัจจัยเสี่ยง จาก Supply ที่ล้นตลาด ในขณะที่ Demand ลดลงจากเศรษฐกิจ