เงินบาทอ่อน นัยยะต่อตลาดหุ้นไทย

ค่าเงินบาทกลับมาเป็นประเด็นร้อนในการถกคุยกันเกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ เนื่องจากประเทศศรีลังกา และพม่าเพื่อนบ้านเราประกาศหยุดพักชำระหนี้ เงินสำรองระหว่างประเทศหมด

ประเทศไทย และทุกรัฐบาลทั่วโลกได้รับผลกระทบมากมายจากปัญหาการระบาดของโควิด-19 เรื้อรังยาวนานมากว่า 2 ปีครึ่งทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก เงินทุนของประเทศถูกใช้ไปกับการใช้จ่ายด้านสาธารณสุข ค่ารักษาพยาบาล เงินช่วยเหลืออุดหนุนค่าครองชีพ เป็นต้น แต่เนื่องจากประเทศไทยนั้นพึ่งพาด้านการส่งออก และการท่องเที่ยวในระดับสูง เศรษฐกิจของประเทศจึงยังคงฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ และยุโรป

การปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงของราคาสินค้าต่างๆ เป็นผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงกว่าระดับปกติ สืบเนื่องจากภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ธนาคารกลางสหรัฐต้องเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบเงินบาท 8.9% จากต้นปี โดยคาดว่าสหรัฐจะหยุดปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในช่วงต้นปี 2566

ผลกระทบต่อประเทศไทยจากค่าเงินบาทอ่อนและตลาดหุ้น

1.ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยย่ำแย่ลงในอัตราเร่ง เนื่องจากไทยต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการนำเข้าเชื้อเพลิงพลังงาน และสินค้าทุนอื่นๆ

2.อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวสูงขึ้นจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งอ้างอิงซื้อขายกันในรูปค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลกเช่นกัน

3.ข้าวของแพงขึ้นกดดันกำลังซื้อภายในประเทศของคนรายได้น้อยจนถึงปานกลางหดตัว ฉะนั้นรัฐต้องมีมาตรการเพื่อให้คนกลุ่มรายได้ดีออกมาใช้จ่ายในสังคมเพิ่มขึ้นแทนที่จะไปใช้เงินในต่างประเทศ

4. จากการศึกษาของทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงนั้น การอ่อนค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐทุก 1% จะส่งผลต่อกำไรโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 0.5% โดยกลุ่มที่ได้รับผลบวก คือกลุ่มส่งออกอาหาร เกษตร อิเลคทรอนิคส์ ปิโตรเคมี พลังงาน การขนส่ง และโรงแรม ซึ่งตรงกันข้ามกลุ่มอ้างอิงเศรษฐกิจภายในประเทศ และกลุ่มที่มีหนี้สกุลต่างประเทศจะรับผลกระทบด้านลบ

5. สินทรัพย์ประเทศไทยในสายตานักลงทุนต่างประเทศนั้นถูกลง ซึ่งจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น

สำหรับท่านที่มีการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออก ช่วงนี้ควรทำประกันอัตราค่าเงิน เนื่องจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศไทยและสหรัฐนั้นยังคงมาก ดังนั้นค่าเงินบาทมีแนวโน้มจะยังอ่อนค่าต่อไปอีกจนกระทั่งเข้าสู่ไตรมาส 4 ปีนี้