14 กันยายน 2022 เวลา 12:55 น.
คำถามเรื่องนักลงทุนวีไอ เขา Cut Loss กันไหมพี่ ?
เป็นหนึ่งในคำถามยอดฮิต ที่ผมรับมาทาง inbox เรื่อยๆ ตลอด 10 ปี ที่ทำแฟนเพจมาเลย
Cut Loss แปลแบบบ้านๆว่า “การตัดขาดทุน”
บางคนเรียกว่าเป็นกลยุทธ์ตัดนิ้วรักษาแขน บางคนเรียกว่ากลยุทธ์ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
มันคือ การที่นักลงทุนซื้อหุ้นตัวนึงแล้วราคาปรับตัวลดลง ต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมา กระทั่งแสดงค่าเป็น “สีแดง” ไปแล้ว ที่ใน SET Streaming เรียกว่า Unrealized Loss นั่นแหละครับ เช่น ซื้อหุ้น A มาที่ราคา 50 บาท แล้วต่อมาราคาหุ้น A ลดลงเหลือ 45 บาท (ขาดทุน 10%) แล้วเราไม่อยากเปิดโอกาสให้ตนเองต้องขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก จึงตัดใจยอมรับการขาดทุนตรงนี้ ด้วยการขายหุ้น A ออกไปที่ราคา 45 บาท นี่คือการ Cut Loss
การตัดสินใจขายหุ้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองขาดทุนมากขึ้นไปอีก ซึ่งนักลงทุนแต่ละคนก็จะมีจุด Cut Loss ที่ต่างกันออกไป ขึ้นกับว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน กรณีส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอคือการตั้งเป็น %ขาดทุน เอาไว้ เช่น ราคาลงมากระทั่งขาดทุน -10% ต้องคัท หรือ -20% ต้องคัท เป็นต้น
ทีนี้คำถามว่า นักลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน ที่ดูพื้นฐานกิจการและวัดมูลค่าหุ้นมาอย่างเต็มที่แบบวีไอแล้ว จะไม่ Cut Loss ในทุกกรณี ... คนอื่นว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ผมเองมีความเชื่อว่า Cut Loss ได้ครับ
เพียงแต่ว่า เกณฑ์การ Cut Loss จะไม่ได้ใช้ราคาหุ้นเป็นหลัก แต่ใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ผมเองมีกฏการ Cut Loss ส่วนตัว 3 ข้อ
1. พื้นฐานกิจการเปลี่ยน
หุ้นที่เราซื้อเริ่มมีสภาพธุรกิจแย่ลง ไม่เป็นไปตามที่เคยคาดไว้ เช่น การแข่งขันเพิ่มขึ้น คู่แข่งใหม่ๆเข้ามามากขึ้น ถูกดิสรัปชั่นโดยผู้เล่นหน้าใหม่ กฏระเบียบภาครัฐเข้ามาควบคุมหนักข้อขึ้น ต้นทุนการทำธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนกระทบต่อพื้นฐานกิจการ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งรายได้ หรือฝั่งต้นทุน สิ่งเหล่านี้กระทบต่อกำไรจากการดำเนินงาน ทำให้กำไรลดลง ซึ่งถ้าเราถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นควรจะลดลงๆเช่นกัน
#ก็ต้องยอมรับและยอมคัท
2. อ่านพื้นฐานอนาคตผิด
การซื้อหุ้นคือการซื้ออนาคต ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคาดการณ์ที่ไม่มีใครรู้อย่างแจ่มชัด 100%เต็มครับ หน้าที่ของนักลงทุนวีไอคือการตามศึกษาข้อมูลของหุ้นที่เราลงทุนให้มากๆ ต้องเข้าใจว่าอะไรมีผลต่อรายได้และกำไรของกิจการในระยะยาว เช่น ช่วงปี 2016 ที่กระแสช่องทีวีดิจิตอลมาแรง ช่วงเวลานั้นเราอาจจะมีมุมมองที่เป็นบวกมากกับธุรกิจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับมีธุรกิจที่ไม่ใช่ช่องทีวีไทย แต่แย่งเวลาคนดูทีวีออกไปได้มากมาย เช่น Facebook Tiktok NetFlix Disney+ ฯลฯ กระทั่งมีข้อมูลชัดเจนว่า คนรุ่นใหม่ดูทีวีน้อยลงมาก ซึ่งกระทบต่อเรตติ้งของช่องทีวีและรายได้จากค่าโฆษณาเป็นเทรนด์ขาลง ที่เราเคยอ่านอนาคตไว้แบบนึง ความเป็นจริงกลับเป็นอีกแบบนึง
#ก็ต้องยอมรับและยอมคัท
3. ประเมินมูลค่าผิด
เรื่องการประเมินมูลค่า (valuation) เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ และมันคือการประเมินอนาคต ซึ่งผิดพลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นวิธี DCF (Discounted Cashflow) ซึ่งเต็มไปด้วยการใส่สมมติฐาน การเติบโต กำไร ค่า WACC ฯลฯ หรือแม้กระทั่งวิธี Forward P/E ที่เป็นการเอาราคาหุ้นในปัจจุบันหารด้วย EPS อนาคต (projected earning per share) ก็เช่นกัน
ลองดู IAA Consensus ที่เว็บ settrade ดูครับ แม้แต่นักวิเคราะห์มืออาชีพ ประเมินราคาหุ้นตัวเดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็สามารถประเมินราคาออกมาแตกต่างกันได้มากมายเช่นกัน
ถ้าเราประเมินราคาหุ้นที่ลงทุนด้วยมุมมองที่ดีเกินไป เมื่อมีโอกาสกลับมาทบทวน เปลี่ยนสมมติฐานใหม่ให้สอดคล้องความเป็นจริงมากขึ้น แล้วพบว่ามูลค่าที่แท้จริงต่ำกว่าเดิมมาก
#ก็ต้องยอมรับและยอมคัท
โดย : นิ้วโป้ง Fundamental VI
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
APP ทันหุ้น ANDROID คลิก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม