#TEGH #ทันหุ้น –TEGH ชูดีมานด์ยางธรรมชาติพุ่ง หนุนออเดอร์ยาวถึงเดือนธันวาคม ลุยอัพกำลังผลิตเพิ่ม ขณะที่ทิศทางราคายางขาขึ้น คาดรายได้ปีนี้เติบโต 30% ตามเป้า แย้มผลงานไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ เติบโตต่อเนื่อง จากทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมมองได้รับผลดีจากรถยนต์ไฟฟ้าหนุนปีหน้าเติบโตต่อเนื่อง ด้านโบรกเกอร์มองเชิงบวกต่อกำไรในปี 2565-2567 ที่ยังมีแนวโน้มสดใส และยังมี Upside ระยะยาวจากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน

นางสาวสินีนุช  โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH เปิดเผยว่า คาดผลการดำเนินงานในปีนี้จะมีรายได้เติบโต 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากธุรกิจของบริษัท ทั้ง 3 ส่วนมีการเติบโต ทั้งในส่วนของผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาจนถึงเดือนธันวาคม แล้ว

เนื่องจากความต้องการยางยังมีมาก และมองว่าแนวโน้มการใช้ยางจะเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เพราะมีปัจจัยบวกจากรถยนต์ไฟฟ้าออกมาอีกจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังประสบปัญหาจากการขาดแคลนชิป แต่หากแก้ปัญหานี้ได้ เชื่อว่าจะทำให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกมาก เพื่อมาทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันและแก๊ส

*ขยายกำลังผลิต

ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจยางธรรมชาติ บริษัทได้ดำเนินการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ซึ่งจะเป็นการทยอยดำเนินการ โดยจะมีการขยายกำลังการผลิตยางแท่งเป็นประมาณ 420,000 ตันต่อปี ในปี 2566 จากปีนี้ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 240,000 ตันต่อปี ขณะเดียวกันประเมินทิศทางราคายางในช่วงนี้อาจจะมีความผันผวน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่จีนมีการล็อกดาวน์ แต่เชื่อว่าราคาจะมีทิศทางที่ดีขึ้นในไตรมาส 1/2566 ซึ่งจะเป็นไปตามฤดูกาล

ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ยังดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งในไตรมาส 4/2565 จะเริ่มรับวัตถุดิบการกำจัดกากอินทรีย์เข้าระบบได้ และจะสามารถรับรายได้ในไตรมาสนี้

*ปีหน้าโตต่อเนื่อง

นางสาวสินีนุช กล่าวว่า สัดส่วนรายได้ใน 3 ธุรกิจหลัก จะแบ่งเป็นธุรกิจยางธรรมชาติอยู่ที่ประมาณ 75-85% ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ราว 14-24% และธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์อยู่ที่ 1% ในอนาคตทุกธุรกิจจะมีการเติบโต แต่ในส่วนของธุรกิจด้านพลังงานทดแทนจะมีมาร์จิ้นที่ดีกว่าธุรกิจอื่น

ขณะเดียวกันมองว่าแนวโน้มผลประกอบการในปีหน้า ยังจะมีการเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิตของบริษัท ในส่วนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ก็อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาก็มีโอกาสทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวกับการร่วมเป็นพันธมิตรในการทำโรงไฟฟ้าพลังงานขยะจากกากอุตสาหกรรมนั้น แต่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด และเตรียมความพร้อมต่างๆ

*ดีมานด์ยางดันกำไร

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง TEGH ว่า กำไรปกติงวดไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 290 ล้านบาท เติบโต QoQ และYoY ซึ่งมาจากธุรกิจยางธรรมชาติ หลังเริ่มรับรู้ผลของการขยายกำลังการผลิตยางแท่งใหม่ รองรับการเติบโตของปริมาณออเดอร์ในมือที่มีจำนวนมาก ตามอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่งทั้งจากลูกค้าในประเทศ และต่างประเทศ ขณะที่ราคายางยังทรงตัวในระดับสูง และคาดว่ากำไรปกติทั้งปี 2565 จะอยู่ที่ 805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.5% และมองว่ามีโอกาสทำนิวไฮต่อได้ในปี 2566-2567 อย่างต่อเนื่อง และมีธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเป็น Upside ในระยะยาว

แม้อุตสาหกรรมยางพารา ยังอยู่ในช่วงที่มีความผันผวนสูงจากการล็อกดาวน์ของจีน และความกังวลเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐและยุโรป แต่มองว่าธุรกิจยางของ TEGH จะยังเติบโตได้สูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม หลังจากการ IPO เนื่องจากมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง เน้นขายสินค้ากลุ่ม Premium และมีแผนขยายกำลังการผลิตเชิงรุก เพิ่มขึ้นราว 60% จากปี 2564 หลังกำลังการผลิตเดิมถูกใช้เต็มประสิทธิภาพแล้ว

และคาดว่าอุตสาหกรรมยางพาราจะกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นได้อย่างมีเสถียรภาพตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป หลังปัจจัยต่างๆ คลี่คลาย และยังมี Upside ระยะยาวจากการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า จะหนุนความต้องการล้อยาง ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 7.20 บาทต่อหุ้น

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1