> SET > TMT

25 มกราคม 2023 เวลา 11:19 น.

TMT ส่องลงทุนหนุนยอด เล็งปั้นมาร์จิ้นเกิน7-8%

#TMT #ทันหุ้น -TMT มองบรรยากาศลงทุนปี 2566 คึกคัก หนุนปริมาณจำหน่ายปี 2566 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน ชี้ดอกเบี้ยขาขึ้น-เงินเฟ้อขยายตัวกระทบราคาสินค้าเหล็กทรงตัวระดับสูงต่อ คาดต้นปีนี้กรอบราคา 23-24 บาทต่อกก. บวกลบ 5% มั่นใจความสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นเหนือ 7-8% พร้อมให้ความสำคัญในการบริหารจัดการซัพพลายเชน


นายไพศาล ธรสารสมบัติ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอ็มที สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ TMT เปิดเผยว่า แม้ว่าในปี 2566จะยังคงมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงต้องให้การจับตารอดูต่อไป แต่มองว่าจากการเปิดประเทศของไทยจะทำให้บรรยากาศต่างๆ รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งมีแผนการลงทุนโครงการต่างๆ ต่อเนื่อง ซึ่งก็คาดว่าปริมาณงานโครงการจะดีขึ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน


ราคาเหล็กทรงตัวสูง


บริษัทคาดว่าการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายในปี 2566จะยังคงเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% จากปีก่อน โดยบริษัทประเมินว่าราคาเหล็กโลกในช่วงต้นปี 2566จะอยู่ที่ระดับประมาณ 600-630 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน คิดเป็น 23-24 บาทต่อกิโลกรัม หรืออาจมีการบวกลบไม่เกิน 5%จากระดับราคาดังกล่าว ส่วนราคาจำหน่ายของบริษัทจะสูงกว่าราคาตลาดเนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพพิเศษ ดังนั้น ราคาปัจจุบันจึงอยู่ที่ระดับราว 25-26 บาทต่อกิโลกรัม


ทั้งนี้ ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงต่อ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ส่งผลการลงทุนต่างๆ ในประเทศอาจเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ส่งผลให้คาดการณ์ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เหล็กจะทรงตัวอยู่ในทรงตัว อย่างไรก็ดี แม้ว่าในปี 2566การเติบโตในอุตสาหกรรมอาจยังมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 จากปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ด้วยส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดปริมาณจำหน่ายจึงยังขยายตัวได้ดี


ขณะเดียวกันบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม และคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปี 2566 ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 7-8%


รวมถึงให้ความสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการดูแลและช่วยควบคุมต้นทุนให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ลดภาระการจัดเก็บสินค้าคงคลังให้กับลูกค้า บริษัทจัดการ Stock ที่มีให้เพียงพอต่อความต้องการใช้งาน


โบรกแนะนำ"ถือ"ต่อ


บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แนวโน้มผลงานไตรมาส 2/2565 คาดว่าจะพลิกเป็นกำไรสุทธิได้ เป็นผลจาก 1. ราคาเหล็กเริ่มขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 28.9 บาทต่อกก. ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2565 (จาก 28.6 บาท/กก.ในเดือนก.ย.65) 2. ต้นทุน HRC ลดลง 3. GPM ตุลาคม, พฤศจิกายน, ธันวาคม 2565 ฟื้นตัวเป็น 5%, 8%, 7% ตามลำดับ และ 4. กลับรายการสำรองที่ตั้งไปก่อนหน้า 20-30 ล้านบาท


ส่วนแนวโน้มปี 2566ประเมินกำไรสุทธิจะเติบโตเป็นเท่าตัว โดยคาดปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4% เป็น 7.45 แสนตัน จากภาคก่อสร้างทั่วไปฟื้นตัวตามเศรษฐกิจและภาคท่องเที่ยว โครงการขนาดใหญ่กลับมาเดินหน้าหลังจากดีเลย์ไปในปี 2565, ด้านราคาขายเฉลี่ยประมาณการไว้ที่ 28.5 บาทต่อกก. โดยมีสมมติฐาน GPM ระดับปกติที่ 7% (จากฐานต่ำ 4.8% ในปี 2565) คาดกำไรสุทธิปี 2566 ไว้ที่ 644 ล้านบาท (EPS : 0.74 บาทต่อหุ้น) เติบโต 109% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน


แนะนำ "ถือ" โดยให้ราคาพื้นฐาน 8.70 บาท โดยมองโอกาส คือ 1. การขยายกำลังการผลิตโรงท่อและคลังสินค้า และ 2. การขยายโซลาร์รูฟทอปเฟส 2 เป็น 5.5 MW ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้เพิ่มอีก 12-13 ล้านบาทต่อปี คาดแล้วเสร็จปลายปี 2566 (ปัจจุบันเฟสแรกประหยัดได้ 12 ล้านบาทต่อปี)


รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X