TOP กำไรปี 65 ที่ 32,668 ลบ. โต 159.72% ตั้งงบลงทุนปี 66-68 ที่ 991 ล้านเหรียญ

#TOP #ทันหุ้น-บริษัท ไทยออยล์ จำกัด(มหาชน) หรือ TOP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2565 มีกำไร 32,668.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159.72% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีกำไร 12,578.03 ล้านบาท โดยมีกำไรจากสต็อกน้ำมันก่อนภาษี 3,613 ล้านบาท ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งมีกำไรจากสต็อก 15,063 ล้านบาท ขณะที่ EBITDAในปี 2565 อยู่ที่ 37,187 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 28,142 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9,045 ล้านบาท ด้านรายได้จากการขายในปี 2565 อยู่ที่ 505,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 335,827 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 169,876 ล้านบาท และมีกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) หรือ GPSC จำนวน 17,334 ล้านบาท (ก่อนภาษี) หรือคิดเป็น 12,880 ล้านบาท(หลังภาษี)

ในไตรมาส 4/65 มีกำไร 147 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/65 ซึ่งมีกำไร 12 ล้านบาท แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีกำไร 5,033 ล้านบาท โดยไตรมาส 4/65 มีรายได้จากการขาย 123,132 ล้านบาท ลดลง 1,042 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/65 แต่เพิ่มขึ้น 18,834 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/64

**แผนการลงทุนในอนาคต

บริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2568 เป็นจำนวนรวม 991 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 553 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเงินลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัทฯ โดยผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และโครงการอื่นของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 การดำเนินการตามโครงการ CFP มีความคืบหน้าของโครงการไปมากกว่า 89.6% โดยมีความก้าวหน้าอย่างมากในงานติดตั้งอุปกรณ์และโมดูลที่สาคัญ อย่างไรก็ดีจากการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในช่วงระยะ 2 ปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างเกือบทุกโครงการไม่เว้นแม้แต่โครงการ CFP ของบริษัทฯ ซึ่งทeให้การดำเนินการตามโครงการ CFP มีความล่าช้ากว่าแผนงานที่กำหนดไว้แต่เดิม บริษัทฯ จึงได้เจรจาเพิ่มเติมกับผู้รับเหมาของโครงการ CFP เพื่อปรับเปลี่ยนแผนงาน (New Project Execution Plan) และดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะมีผลทำให้งบประมาณรวมของโครงการ CFP เพิ่มขึ้นจากเดิม

นอกจากนี้บริษัทฯ ได้กำหนดมาตรการการดำเนินงานเพิ่มเติมร่วมกันกับผู้รับเหมาของโครงการ CFP เพื่อลดความเสี่ยงที่โครงการ CFP อาจล่าช้าออกไปอีกในอนาคต อาทิเช่น ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ,ปรับเปลี่ยนแผนการก่อสร้างเพื่อเร่งรัดงาน,เพิ่มจ านวนผู้รับเหมาช่วงเพื่อรองรับขอบข่ายงานและระยะเวลาที่ปรับเปลี่ยนเป็นต้น ภายใต้มาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวด บริษัทฯ คาดว่าโครงการ CFP จะสามารถทยอยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2567