22 พฤษภาคม 2023 เวลา 06:00 น.
#รัฐบาล #ทันหุ้น - ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยคือเรื่องของการเมืองในประเทศชัดเจน โดย SET INDEX ปรับตัวลง -8% YTD เทียบกับ MSCI Asia ex Japan ที่ -2% YTD สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทย Underperform จากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ซึ่งตามสถิติปี 2562 ผมพบว่า SET INDEX จะเคลื่อนไหว Sideway ไปจนถึงวันโหวตนายกฯ โดยมี Maximum Drawdown ในช่วงนั้นที่ระดับ -4% (รอบนี้ลงมาแล้ว -3%) และ SET INDEX จะกลับไปขึ้นดีอีกครั้งในช่วงก่อนโหวตนายกฯ 2 สัปดาห์(+2%) และหลังโหวตนายกฯ 1 เดือน(+5%) เพราะฉะนั้น พัฒนาการทางการเมืองในช่วงนี้จึงกระทบ SET INDEX จำกัด จนกว่าจะทราบวันโหวตนายกฯที่ชัดเจน โดยกลุ่มที่จะ Outperform ตลาดในระยะสั้นคือ สื่อบันเทิง, ค้าปลีก, อาหารเครื่องดื่ม, และสินค้าเกษตร เป็นต้น
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามหลังจากนี้ 1. เงื่อนไขการโหวตเลือกนายกฯ ยังต้องใช้เสี่ยงเกินครึ่งของสภาฯร่วม (ส.ส. + ส.ว.) หรือต้องได้เสียงรับรอง 376 เสียงขึ้นไป ซึ่งหากพรรคเกณฑ์นำจัดตั้งรัฐบาลไม่สามารถรวมเสียงได้เกินเงื่อนไขดังกล่าว อาจต้องรอความชัดเจนในการโหวตเลือกนายกฯจาก ส.ว. ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยังคาดการณ์ได้ยากในปัจจุบัน 2. พรรคก้าวไกลที่มีคะแนนนำ ยังไม่เคยจัดตั้งรัฐบาล และคาดว่าจะต้องรวมเสียงกับพรรคร่วมให้ได้มากที่สุดเพื่อลดการพึ่งพิง ส.ว. จึงอาจต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นอีกพอควร 3.การจัดตั้งรัฐบาลยังต้องรอ กกต. ประกาศผลอย่างเป็นทางการภายใน 13 ก.ค. ทำให้ปัจจัยการเมืองหลังประกาศ MOU เป็นช่วงสุญญากาศ ที่มีโอกาสกลับมากดดันบรรยากาศการลงทุนจนกว่าจะมีความชัดเจน 4. การแบ่งกระทรวงของพรรคร่วมรัฐบาล โดยผมคาดว่าพรรคก้าวไกลจะรับผิดชอบนโยบายในการดูแลสังคม และพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าหากเป็นไปตามนี้ ผมคาดว่านักลงทุนจะตอบรับเชิงบวก
โดยหลังจาก กกต. รับรองผลการเลือกตั้งแล้ว ในช่วงปลาย ก.ค. จะมีการเปิดประชุมสภา เพื่อโหวตเลือกประธานสภา และจะมีการโหวตเลือกนายกฯ เป็นลำดับถัดไป ซึ่งถ้าไม่มีข้อร้องเรียนที่ทำให้ กกต. ต้องใช้เวลามากขึ้นในการรับรองผล คาดว่ารัฐบาลชุดใหม่สามารถเข้าบริหารประเทศได้ภายในเดือน ส.ค.
ด้วยความที่ยังอยู่ในช่วงรอความชัดเจน แต่สถิติค่อนข้างชัดว่า SET INDEX จะปรับตัวขึ้นในช่วงโหวตเลือกนายกฯ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงเป็นลักษณะรอดูความชัดเจน และไปเพิ่มน้ำหนักอีกครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนโหวตเลือกนายกฯ กลุ่มที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนั้นคือ ธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก ท่องเที่ยว และอาหารเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติชื่นชอบในช่วงที่กระแสเงินทุนไหลเข้ารอบที่ผ่านมา
สำหรับหุ้นที่น่าจับตาสัปดาห์นี้ ผมแนะนำให้นักลงทุนลองไปศึกษาบริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมอาหารสดภายใต้ชื่อ "ธนพิริยะ" ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 42 สาขา แบ่งออกเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต 41 สาขา และศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา ซึ่งก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นอ่อนตัวลงเพราะยังไม่เปิดด่านชายแดนอย่างเต็มรูปแบบ และถูกกระทบจากการท่องเที่ยวในเชียงรายที่ชะลอตัวจากปัญหาหมอกควัน แต่หลังจากนี้จะฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ เม.ย. 2566 เพราะด่านเปิดเต็มที่แล้ว และ SSSG ของ TNP เริ่มกลับมาเติบโต ขณะที่ PER ลงเหลือเพียง 18 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 25 เท่า ผมจึงเชื่อว่าผลประกอบการจะกลับมาโดดเด่นตั้งแต่ 2Q/66 ส่วนในทางเทคนิค คาดว่าจะเห็นการ Rebound จากสัญญาณขัดแย้งเชิงบวก แนวต้าน 3.50-3.60 บาท และแนวรับ 3.30 บาท
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?igshid=YTY2NzY3YTc=
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม