#MEGA #ทันหุ้น – MEGA มองไตรมาส 3/2566 กำลังซื้อ-การใช้จ่ายเริ่มฟื้นตัว ดันยอดขายเพิ่มขึ้น รับทั้งปี 2566ยอดขายอาจไม่สูงเท่าปีก่อนที่ฐานสูงจากปัจจัยโรคโควิด-19ระบาด แต่ยังคงรักษามาร์จิ้นที่ 45.02% พร้อมคงเป้าภายในปี 2568 ผลงานเติบโต 2 เท่า

นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า ประเมินภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 3/2566เชื่อว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น สะท้อนต่อทิศทางของยอดขายที่จะปรับตัวดีขึ้นตาม แต่ต้องยอมรับว่าด้วยฐานที่สูงในช่วงที่มีโควิด-19 ระบาด ทำให้ยอดขายในปี 2566 อาจทรงตัวหรือย่อตัวลงราว 1-2% จากปีก่อน

แต่ภาพรวมทั้งปี 2566บริษัทยังคงเป้าหมายการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้ทรงตัวได้ใกล้เคียงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ระดับ 45.02% ซึ่งในช่วง 6เดือนแรกของปีนี้ทำได้ที่ระดับ 44.84% แล้ว โดยในช่วงครึ่งหลังปีนี้บริษัทมีแผนที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเพิ่มเติมทั้งวิตามิน อาหารเสริม และยา รวมถึงวางแผนปรับส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix) ใหม่ เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในเป้าหมายที่วางไว้

*จ่อคลอดสินค้าใหม่

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทยังมีผลิตภัณฑ์ทั้งยาและอาหารเสริมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและยื่นขอใบอนุญาตอีกกว่า 172 รายการ ที่คาดว่าจะมาช่วยสร้างยอดขายใหม่และสร้างการเติบโตให้กับรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต เพราะมองว่ายาและอาหารเสิรมยังคงเป็นส่งจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566บริษัทได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปแล้วกว่า 12-13 รายการ จากแผนปีนี้ที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์และวางจำหน่าย 22 รายการ

"เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขยายธุรกิจในทวีปแอฟริกา ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นผู้นำในตลาด สายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง และการดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปแอฟริกา การวางกลยุทธ์ร่วมกัน การเป็นหุ้นส่วนการร่วมค้า และการเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งเราเองก็พยายามจะสร้างการเติบโตของธุรกิจนับจากปี 2562เป็น 2 เท่าภายในปี 2568ให้ได้ตามแผนเดิมที่วางไว้"นายวิเวก กล่าว

ส่วนการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียนั้น คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตยาในรูปแบบใหม่ และคลังสินค้า ได้ภายในไตรมาส 4/2566และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 2 ปี หรือ 24 เดือนจึงจะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ขณะที่ในประเทศเวียดนามก็มีความสนใจในการเข้าไปขยายการลงทุนเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน เพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ดี เวียดนามเป็นประเทศที่จำนวนประชากรมาก ตลาดอาหารและยามีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นทุกปีมาอย่างต่อเนื่อง

*เป้าหมายใหม่ 47 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปรับแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 47.00 บาท อิง 2566E PER 18.3x เทียบเท่า -1 SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี โดย MEGA รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2566 ไว้ที่ 531 ล้านบาท ลดลง -7% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่เติบโต +17% จากไตรมาสก่อน สูงกว่าตลาดคาด +13%และทางฝ่ายคาดที่ +20%

โดยกำไรลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ส่งผลจาก FX Loss ที่ -226 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 2/2565 ที่มี FX Gain ที่ 26 ล้านบาท ด้านกำไรที่ขยายตัวจากไตรมาสก่อน จาก 1.รายได้รวมขยายตัว +7% จากไตรมาสก่อน จากรายได้ Mega We Care +3% จากรายได้ใน Asia และ Africa ที่ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน และรายได้ Maxxcare +9% และ 2.GPM ขยายตัวจากไตรมาสก่อน จาก GPM ของ Mega We Care และ Maxxcare ขยายตัวจากการเสียลูกค้า 1 ราย ซึ่ง Low Margin ในเมียนมา

ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-2567 ขึ้น 11% และ 14% ตามลำดับ เพื่อสะท้อน GPM ที่ดีกว่าคาด ประเมินกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 2,251ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และปี 2567ที่ 2,467 ล้านบาท เติบโต 10%เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ราคาหุ้น Underperform SET -3% ใน 3 เดือนที่ผ่านมา จากปัจจัยการเมืองในเมียนมากดดัน ทางฝ่ายมองว่าราคาปัจจุบันน่าสนใจ โดยเทรดที่ 2566E PER15.1x ซึ่งต่ำกว่า Peer กลุ่ม Commerce และ Healthcare

รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1