#ทันหุ้น - บล.กสิกรไทย ส่องหุ้น TOP คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วย TP ที่ 55.50 บาท จากราคาหุ้นที่ไม่แพงและ ROE ที่อาจปรับดีขึ้น ปัจจัยหนุนระยะสั้นได้แก่ การฟื้นตัวของ GRM ดูดีในระยะยาวจากอุปทานโรงกลั่นที่ตึงตัวขึ้น ธุรกิจปิโตรเคมีที่จะปรับตัวดีขึ้น และโครงการ CFP ที่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ROE จะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายในปี 2568 ยุคทองของอุตสาหกรรมโรงกลั่นที่จะเริ่มต้นในปี 2568 ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีจะฟื้นตัวภายในปี 2567 นอกจากนี้ โครงการ CFP มีความคืบหน้าการก่อสร้างที่ 94%
ยุคทองของอุตสาหกรรมโรงกลั่นที่จะมาถึงในปี 2568 ผู้บริหาร TOP ยืนยันมุมมองที่ว่ายุคทองของอุตสาหกรรมโรงกลั่นจะเริ่มต้นในปี 2568 เนื่องจากกำลังการผลิตโรงกลั่นใหม่เพิ่มขึ้นน้อยลง สำหรับปี2567 ผู้บริหารคาดว่าค่าการกลั่น (GRM) จะกลับมาสู่ระดับปกติที่ 7 ดอลล่าร์สหรัฐฯ/บาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์น้ำมันอากาศยานและน้ำมันเบนซิน ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปริมาณสต๊อกกลุ่มน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าความต้องการน้ำมันดีเซลดูเหมือนจะทรงตัว YoY ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าวดูจะดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดเล็กน้อย เนื่องจากคาดว่าปีทองของอุตสาหกรรมโรงกลั่นจะเริ่มต้นในปี 2569 เป็นต้นไป
ด้วยการฟื้นตวัของธุรกจิปิโตรเคมี จากแนวโน้ม market GRM ที่อาจจะทรงตัว YoY ในปี 2567 กำไรของ TOP น่าจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกจิปิโตรเคมีซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ PE และผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์พื้นฐาน ทั้งนี้ อุปทานใหม่ของ PE และอะโรเมติกส์พื้นฐานคาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยในปี2567-68 และน้อยกว่าความต้องการใชที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงอุปทานส่วนเกินที่ลดลงและส่าวนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่อาจสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผู้บริหารคาดว่าปีที่ดีของธุรกิจปิโตรเคมีจะมีระยะเวลา 2-3 ปี ก่อนที่กำลังการผลิตใหม่จะมาถึงในปี 2569-71
และประโยชน์ของโครงการ CFP นอกจากสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรมโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่ดีขึ้นในปี 2568 แล้ว TOP จะได้รับประโยชน์จากการเริ่มด าเนินงานโครงการ CFP ในปี2568 ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะช่วยเพิ่ม GRM เป็น 2 เท่าและเพิ่มปริมาณการผลิตของโรงกลั่นขึ้น 33% ทั้งนี้ ปัจจุบันความคืบหน้าการก่อสร้างของโครงการ CFP อยู่ที่ 94% โดย TOP คาดว่าจะเริ่มดำเนินการทดสอบการใช้งานหน่วยไฮโดรเดสซัลเฟอร์ไรเซชัน (HDS) ในไตรมาส 1/2567 และหน่วยกลั่นน้ำมันดิบรวมถึงหน่วยผลิตไฟฟ้าในปี 2567 ดังนั้น โครงการ CFP ทุกหน่วยคาดว่าจะเริ่มต้นดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมดในไตรมาส 1/2568
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะการแข่งขันหลังการรวมตลาด ผู้บริหาร TOP คาดว่าแนวโน้มการแข่งขันในอุตสาหกรรมโรงกลั่นในประเทศจะไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากเกิดการควบรวมกิจการระหว่าง BCP และ ESSO เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงกำลังการกลั่นของประเทศ ทั้งนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นของโรงกลั่น ESSO หลังการควบรวมจะเป็นเพียงการทดแทนปริมาณที่ BCP นำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบัน ในขณะที่ TOP เชื่อว่าต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทฯ จะสามารถแข่งขันได้กับต้นทุนการดำเนินงานส่วนเพิ่มของโรงกลั่น ESSO
ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น จะส่งผลดีต่อปัจจัยพื้นฐานของ TOP ในปี 2568 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่ม ROE เป็นมากกว่า 10% ดังนั้น จึงคาดว่าจะเห็นการเพิ่มตัวคูณมูลค่าหุ้นในอนาคต โดย ณ ปัจจุบัน หุ้น TOP ซื้อขายด้วย PBV ปี 2567 ที่เพียง 0.66 เท่า เทียบกับ 0.70 เท่า ของคู่แข่งในประเทศ ฝ่ายวิจัยไม่คาดว่าส่วนลดมูลค่าหุ้นดังกล่าวจะยังคงอยู่หลังจากที่โครงการ CFP แล้วเสร็จ
ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” TOP และคงมุมมองของฝ่ายวิจัยคาดว่า TOP ยังดูดีสำหรับการลงทุนระยะยาว ในขณะที่ ปัจจัยหนุนในระยะสั้น ได้แก่ การฟื้นตัวของ GRM โดยคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 เดิมที่ 55.50 บาท คิดจาก PBV ที่ 0.68 เท่า หรือเท่ากับ -1SD
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoo
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม