20 พฤศจิกายน 2023 เวลา 06:00 น.
กำไรสุทธิของ SET INDEX ใน 3Q/66 (ไม่นับรวม AOT และบริษัทอื่นๆ ที่รอเปิดเผยงบปี) อยู่ที่ 2.7 แสนลบ. (+26.4% QoQ, +15.0% YoY) ดีกว่าที่เราคาดไว้ที่ 2.3 แสนลบ. อยู่ 17%และเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสที่ดีกว่าคาดการณ์ของ Bloomberg Conesus ซึ่งกลุ่มที่หนุนผลประกอบการให้พลิกกลับมาโตทั้ง QoQและ YoY คือ พลังงาน เช่น BCP(จากกำไรสต๊อกน้ำมันและการวัดมูลค่าสินทรัพย์จากการซื้อ ESSO), PTT (จากการเติบโตในทุกธุรกิจทั้งโรงกลั่น,ค้าปลีกน้ำมัน และปิโตรเคมี) รวมไปถึง SPRCและ TOP ได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของ Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูป ประกอบกับกำไรสต๊อกน้ำมัน ส่วนกลุ่มอื่นที่ผลประกอบการเติบโตได้ทั้ง QoQและ YoY คือ 1.การแพทย์ จากการเข้าสู่ High Season ที่มีโรคระบาดตามฤดูกาล 2. ค้าปลีก จาก SINGER ที่ผลประกอบการพลิกจากขาดทุน 2.4 พันล้านบาท ใน 2Q/66 มาเป็นกำไร 12 ล้านบาท รวมไปถึง RS ที่เติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY จากฐานต่ำและมีกำไรพิเศษ 3. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จาก DELTA ที่รายได้กลุ่ม EV เติบโตดี
สำหรับกลุ่มที่ผลประกอบการลดลงทั้ง QoQ และ YoY คือ วัสดุก่อสร้าง, สื่อสาร, อาหารเครื่องดื่ม,ท่องเที่ยว, สื่อบันเทิง และยานยนต์
หากอิงหุ้นภายใต้ Coverage ของเราที่มีการ Previewผลประกอบการ 102 บริษัท พบว่ามี 59บริษัทหรือ 58% ที่ออกมาตามคาด (ผิดคาดไม่เกิน 10%+/-) มี 30 บริษัทหรือ 29% ที่ดีกว่าคาด และมีเพียง 13 บริษัท หรือ 13%ที่ออกมาต่ำกว่าคาด
หลังจากประกาศผลประกอบการ 3Q/66 เราพบว่า EPS ของ SET INDEX ปีนี้และปีหน้าถูกปรับลงเล็กน้อยเหลือ 84 บาทต่อหุ้น และ 98 บาทต่อหุ้น จากช่วงก่อนประกาศผลประกอบการที่ 85 บาทต่อหุ้น และ 99 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ โดยกลุ่มที่ถูกปรับ EPS ในช่วง 4 สัปดาห์ลงมากที่สุด คือ ปิโตรเคมี, อาหารเครื่องดื่ม, สินค้าเกษตร, บันเทิง, และสื่อสาร ส่วนกลุ่มที่ถูกปรับขึ้น คือ พลังงาน, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, REIT, และการแพทย์ โดยถ้าพิจารณาจากกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นรายตัวที่ถูกปรับประมาณการลงและขึ้น (ตารางหน้า 3)สะท้อนมุมมองของตลาดที่เริ่มลดความคาดหวังต่อกลุ่ม Global +Growth Play แล้วสลับมาเพิ่มในกลุ่ม Defensive Play มากขึ้น
คาดแนวโน้มผลประกอบการ 4Q/66 ชะลอตัว QoQ จากกลุ่มพลังงานที่มีโอกาสกลับมาขาดทุนจากสต๊อก ตามทิศทางราคาพลังงานที่อ่อนตัวลง แต่คาดโตสูง YoY จากฐานต่ำและต้นทุนการผลิต+บริการของหลายกลุ่มที่อ่อนตัวลง ตามมาตรการลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันของภาครัฐ โดยกลุ่มที่เราคาดว่าจะเห็นการเติบโต YoY คือ ธนาคารพาณิชย์และไฟแนนซ์จากการตั้งสำรองที่ลดลง, กลุ่มค้าปลีกจากต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวลง, กลุ่มโรงไฟฟ้าจากฐานที่ต่ำในปีก่อน, และกลุ่มสื่อสารจากการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งถ้ากำไรสุทธิ 4Q/66 ทำได้เกิน 240,000 ลบ. ขึ้นไป จะทำให้กำไรทั้งปี 2566 ขึ้นไปแตะระดับ 1 ล้านลบ. ตามศักยภาพปกติของบริษัทจดทะเบียนไทยอีกครั้ง
ในเชิงของกลยุทธ์การลงทุน เราประเมินว่ากลุ่ม Defensive & Dividend Play จะมีความน่าสนใจมากที่สุดในปี 2567 จากความกังวลด้าน Global Recession และทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่เริ่มอ่อนตัวลง โดยมี 4 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจคือ 1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น Digital Wallet เป็นบวกต่อ ธนาคารพาณิชย์, ค้าปลีก, สื่อสาร 2. ความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสหรัฐ-จีน, ตะวันออกกลาง, รัสเซีย-ยูเครน, เป็นบวกต่อ นิคมอุตสาหกรรม, สื่อสาร 3. Yield Peak เป็นบวกต่อ โรงไฟฟ้า, ไฟแนนซ์, REIT 4. เศรษฐกิจโลกถดถอย เป็นบวกต่อ การแพทย์, โรงไฟฟ้า, REIT, สื่อสาร หุ้นแนะนำ คือ CPAXT, DOHOME, ADVANC, TRUE, SYMC, SAWAD, GPSC, BGRIM, LHHOTEL
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
X คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?igshid=YTY2NzY3YTc=
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม