> Trendtalk > IRPC

10 กันยายน 2024 เวลา 06:40 น.

เจาะ IRPC

#ทันหุ้น-ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวลดลงจากแรงขายทำกำไรที่แนวต้าน 1,430 หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านของเส้นแนวโน้มขาลงที่ 1,370 ขึ้นไป ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับฐาน โดยมีแนวรับที่ 1,410


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ IRPC หรือ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) การนำไปเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกสำเร็จรูปชนิดต่างๆ  ธุรกิจท่าเรือและถังเก็บผลิตภัณฑ์ ให้บริการท่าเทียบเรือเพื่อขนถ่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานสากล  ธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน


IRPC รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/2567 มีผลขาดทุนสุทธิ 732.29 ล้านบาท ลดลง 67% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 2,245.79 ล้านบาท ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรก มีกำไร 812.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 1,945.07 ล้านบาท


บริษัทมีรายได้จากการขายสุทธิ 74,066 ล้านบาท ลดลง 578 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยลดลงจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม


สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นตามราคาตลาด (Market Gross Refining Margin: Market GRM) ที่ลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ที่ได้รับปัจจัยกดดันหลักจากการประกาศโควตาการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของจีนรอบที่ 2 ประกอบกับ การขนส่งน้ำมันดีเซลจากทวีปเอเชียไปยังทวีปยุโรปบางส่วนถูกจำกัดโดยสถานการณ์ความขัดแย้งในทะเลแดง ทำให้อุปทานของน้ำมันดีเซลในเอเชียอยู่ในระดับสูง


ในขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาดของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี (Market Product to Feed: Market PTF) ที่เพิ่มขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่างราคาในกลุ่มอะโรเมติกส์ ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการเพื่อนำไปใช้ผสมเป็นน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น และกลุ่มสไตรีนิกส์ที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของความต้องการสินค้าปลายทางในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ประกอบกับ กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นคงที่


ส่งผลให้บริษัท มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 3,465 ล้านบาท หรือ 5.12 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 38 จากการที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านจะพัฒนารุนแรงขึ้นเป็นสงคราม เป็นผลให้เกิดการกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,237 ล้านบาท หรือ 1.83 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมันที่เกิดขึ้นจริง (Realized Oil Hedging) 239 ล้านบาท หรือ 0.35 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และมีการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ (NRV) 72 ล้านบาท หรือ 0.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล


จากรายการดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท บันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิ (Net Inventory Gain) รวม 1,404 ล้านบาท หรือ 2.07 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัท มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 4,869 ล้านบาท หรือ 7.19 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 38 จากไตรมาสก่อน


นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 1,439 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 69 จากไตรมาสก่อน


โดยในไตรมาส 2/2567 บริษัท มีกำไรจากการลงทุน 439 ล้านบาท โดยหลักเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จำกัด (WHAIER) ที่เริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายที่ดินในไตรมาส 2/2567

ขณะที่ บริษัทบันทึกค่าเสื่อมราคา 2,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ที่มีการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนเมษายน 2567 ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากไตรมาส 1/2567 ที่เป็นผลจากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นตามตลาด ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2567 บริษัทบันทึกผลขาดทุนสุทธิ 732 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ที่บันทึกกำไรสุทธิ 1,545 ล้านบาท


ไตรมาส 2/2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2566 บริษัท มีรายได้จากการขายสุทธิเพิ่มขึ้น 3,311 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 มาจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12 ขณะที่ปริมาณขายลดลงร้อยละ 7 สำหรับธุรกิจปิโตรเลียม Market GRM ที่ลดลง จากกลุ่มน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน จากส่วนต่างราคายางมะตอย เทียบกับราคาน้ำมันเตาปรับลดลง และกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง จากการลดลงของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล เทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ


สำหรับธุรกิจ ปิโตรเคมี มี Market PTF ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคกำไรขั้นต้นคงที่ ส่งผลให้บริษัทมี Market GIM ลดลงร้อยละ 17 อย่างไรก็ตามบริษัท บันทึก Net Inventory Gain 1,404 ล้านบาท ทำให้ มี Accounting GIM อยู่ที่ 4,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 52 ส่งผลให้มี EBITDA อยู่ที่ 1,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,329 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2566 ขณะที่บริษัทบันทึกค่าเสื่อมราคา 2,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23


สำหรับงวด 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัท มีรายได้จากการขายสุทธิ จำนวน 148,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกปี 2566 เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณขายลดลงร้อยละ 8


สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมี Market GRM ที่ลดลง โดยหลักมาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานเทียบกับราคาน้ำมันเตาปรับตัวลดลง โดยเฉพาะส่วนต่างราคายางมะตอย ที่ได้รับปัจจัยกดดันจากการปรับลดงบประมาณสร้างถนนในประเทศจีน ส่งผลให้ความต้องการใช้ยางมะตอยในประเทศจีนปรับตัวลดลง


นอกจากนี้ ธุรกิจปิโตรเคมี มี Market PTF ลดลงจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับตัวลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะซบเซา ทำให้ความต้องการสินค้าปลายทางยังคงชะลอตัว ประกอบกับกำลังการผลิตใหม่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด


ในขณะที่ กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นคงที่ ส่งผลให้บริษัท บันทึก Market GIM อยู่ที่ 9,083 ล้านบาท หรือ 7.16 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 19 จากการที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการคงนโยบายการลดการผลิตน้ำมันดิบของโอเปกพลัส และความขัดแย้งทางการเมืองในหลายประเทศ ได้แก่ อิสราเอล-ฮามาส รัสเซีย-ยูเครน อิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งส่งผลให้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 2,138 ล้านบาท หรือ 1.68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่ได้รับ (กลับรายการ NRV) 1,252 ล้านบาท หรือ 0.99  ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และกำไรจาก Realized Oil Hedging 298 ล้านบาท หรือ 0.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล


จากรายการดังกล่าว ส่งผลให้มี Net Inventory Gain รวม 3,688 ล้านบาท หรือ 2.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มี Accounting GIM จำนวน 12,771 ล้านบาท หรือ 10.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากหักรายการค่าใช้จ่ายดำเนินงานแล้วบริษัท มี EBITDA จำนวน 6,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 187 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ บริษัทบันทึกค่าเสื่อมราคา 4,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิ 1,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันของปีก่อน


โดยงวด 6 เดือนแรกปี 2567 ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทอ่อนค่า ส่งผลให้บริษัท บันทึกขาดทุนจากการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน 362 ล้านบาท และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้จำนวน 155 ล้านบาท ขณะที่บริษัท มีกำไรจากการลงทุนจำนวน 579 ล้านบาท ส่งผลให้ในงวด 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัท บันทึกกำไรสุทธิ 812 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่บันทึกขาดทุนสุทธิ 1,945 ล้านบาท


ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 บริษัท มีสินทรัพย์รวม 193,336 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 117,042 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 76,294 ล้านบาท

ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านของเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ 1.85 ก่อนที่จะถูกขายทำกำไรในระยะสั้น หลังจากปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1.65 และ 1.60 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 2.00-2.04



ทันเกม  รู้ก่อนใคร  ติดตาม  "ทันหุ้น"  ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X