> SET > CPF

14 พฤศจิกายน 2024 เวลา 17:48 น.

CPF ไตรมาส 3/67 กำไร 7,309 ลบ. ราคาสุกรปรับตัวดีขึ้น งวด 9 เดือนกำไร 15,386 ลบ.


#CPF #ทันหุ้น - บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิ 7,308.98 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.91 บาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 1,810.90 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.25 บาท

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน 2567 มีกำไรสุทธิ 15,385.61 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.88 บาท เทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 5,328.42 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.73 บาท


บริษัทชี้แจงว่า มีรายได้จากการขายในใดรมาส 3 ปี 2567 จำนวน 142,703 ล้านบาท เป็นส่วนของกิจการต่างประเทศร้อยละ 62 และกิจการประเทศไทยร้อยละ 38 รายใต้จากการขายนี้ลดลงร้อยละ 1 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการจำหน่ายธุรกิจไก่ครบวงจรบางส่วนในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงปลายปี 2566 ทั้งนี้ หากไม่นับรวมรายการปรับโครงสร้างดังกล่าว รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากกิจการในต่างประเทศที่มีระดับราคาสินค้าที่ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2566 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา ทูร์เคีย และ ฟิลิปปินส์


กำไรสุทธิในส่วนของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2567 มีจำนวน 7,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 504 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2566 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 1,810 ล้านบาท จากปัจจัยดังนี้

1 ระดับราคาสุกรในหลายประเทศมีการปรับตัวดีขึ้นจากระดับที่ต่ำจากภาวะสุกรล้นตลาดในปีที่ผ่านมาอันเป็นผลจากมีความสมดุลของปริมาณสุกรในดลาดและความต้องการบริโภคดีขึ้น รวมถึงภาวะโรคระบาดในสุกรที่เกิดขึ้นในบางประเทศ

2 ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ลดลงเนื่องจากการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และระดับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ลดลง รวมถึงการบริหารการวิจัยและสรรหาวัตถุดิบทดแทนที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมด้วยต้นทุนที่ลดลง

3 ส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าอยู่ที่ระดับ 3,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 592 โดยหลักเป็นผลจากผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมในประเทศจีนที่ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์และสุกร และบริษัทซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

ซีพีเอฟ  กำไรสุทธิ Q3/67อยู่ที่ 7,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 504% จากช่วงเดียวกันปีก่อน 


     

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย หรือ “ซีพีเอฟ” ผู้ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร มีการลงทุนและร่วมลงทุนใน 17 ประเทศ พร้อมทั้งมีการค้าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก รายงานผลการดำเนินเงินไตรมาส 3 ปี 2567 ด้วยยอดขายจำนวน 142,703 ล้านบาท เป็นส่วนของกิจการต่างประเทศร้อยละ 62 และกิจการประเทศไทยร้อยละ 38 โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 7,309 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 504% จากไตรมาส 3 ปี 2566 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 1,810 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และการได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและร่วมทุนที่ดีขึ้นถึงเกือบ 6 เท่า 

                     

ไตรมาส 3 ปีนี้ ซีพีเอฟมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15.4% เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.0 ของไตรมาส 3 ปี 2566 จากระดับราคาสุกรที่อยู่ในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะระดับราคาสุกรในประเทศเวียดนามที่สูงกว่าปีก่อนจากภาวะปริมาณสุกรลดลงจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า ประกอบกับต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ในหลายประเทศลดลงที่เป็นผลจากการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น และระดับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ลดลงจากปีก่อน รวมถึงการบริหารการวิจัยและสรรหาวัตถุดิบทดแทนที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมด้วยต้นทุนที่ลดลง

   

ส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าอยู่ที่ 3,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 592% จากปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัทร่วมที่ดำเนินธุรกิจอาหารสัตว์และสุกรในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จากระดับราคาสุกรอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและต้นทุนการผลิตที่ลดลง รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ที่ดีขึ้นจากปีก่อน    

    

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างมากในปีนี้ เป็นผลจากการร่วมมือกันของผู้บริหารและทีมงานที่ช่วยกันดำเนินการเพื่อพลิกกลับสถานการณ์ที่ขาดทุนในปี 2566 ทั้งจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินงานให้ตอบสนองต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ และสอดรับต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคในแต่ละท้องที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การร่วมมือกันของทุกคนในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้ปัจจุบันนี้ เรามีฐานที่พร้อมในการแข่งขัน และบริษัทมีความสามารถที่จะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้    

         

ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนและมีความผันผวนในหลายพื้นที่ ทั้งยังมีความขัดแย้งทางภูมิสังคมในหลายส่วน บริษัทฯจึงต้องปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์ในการแข่งขันเพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งต้องมีการดำเนินการในการช่วยลดผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น   


บริษัท ฯมีแนวในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรนวัตกรรม โดยการผสานนำเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และแนวคิดการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างคุณค่าร่วมไปกับสังคม โดยมุ่งหาแนวทางในการใช้ทรัพยากรให้น้อยลง ในขณะเดียวกันก็ผลิตได้มากขึ้น ทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราผลิตนั้นมีคุณภาพและมีคุณค่าในระดับสูงสุด ในขณะที่มีกระบวนการทำงานที่ดูแลห่วงโซ่อุปทานทุกส่วนให้เติบโตไปด้วยกัน หรือที่เรียกว่า “นวัตกรรมความยั่งยืน หรือ Sustainovation” ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เรามีความสามารถในการแข่งขันในสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต   




ทันเกม  รู้ก่อนใคร  ติดตาม  "ทันหุ้น"  ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1

Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.new

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X