#SCGP #ทันหุ้น - ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,340 หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลง ซึ่งเราคาดว่า แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1,360 และ 1,380 เป็นแนวต้านสำคัญ
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ SCGP หรือ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (ซึ่งมีบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลัก คือ บริษัทสยามคราฟท์อุตสาหกรรม จำกัด) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 สายธุรกิจหลัก คือ สายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ และสายธุรกิจรีไซเคิล
ผลการดำเนินงานปี 67 มีกำไร 3,699 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.86 บาท เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงาน ปี 66 มีกำไร 5,248 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.22 บาท
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทวางงบลงทุนในปี 68 ไว้ที่ 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 8,000-10,000 ล้านบาท ใช้รองรับ Mergers & Partnerships (M&P) ในธุรกิจกล่องกระดาษ, Health Care และ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ (Polymer Packaging) ซึ่งยังมีการเติบโตสูง ส่วนที่เหลือราว 3,000-5,000 ล้านบาท จะใช้รองรับการ Maintenance & Efficiency
รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 18,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 16,127 ล้านบาท โดยดำเนินงานผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ได้แก่
1. เพิ่มความสามารถในการทำกำไรในกลุ่มประเทศอาเซียน โฟกัสการขายที่ตลาดภายในประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และสร้างการเติบโตในสินค้าเชื่อมโยงกับผู้บริโภค รวมถึงการเพิ่มโอกาสเข้าตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูงอย่าง Healthcare Supplies
2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน การปรับปรุงต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยี Data Analytic และ Artificial Intelligence (AI) ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุนในปี 68 ได้ประมาณ 600 ล้านบาท
3. พัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อสร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงการพัฒนากระบวนการ และบริการ ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและสร้างความแตกต่างเพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถทำกำไร โดยตั้งงบประมาณและค่าใช้จ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 1 โดยประมาณของรายได้ในแต่ละปี ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 37 ของรายได้รวม
4. มุ่งดำเนินงานตามกรอบ ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ โดยวางเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกเป็น 39% ในปี 68
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาส 1/68มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการบริโภคภายในประเทศกลุ่มอาเซียนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปคาดว่าจะเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านมาตรการภาษีการค้าสำหรับสินค้านำเข้า (Tax Tariff) ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยราคาพลังงานและต้นทุนโลจิสติกส์คาดการณ์ว่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 บริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์ จากการที่ประชาชนนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การซื้ออาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 67 SCGP มีรายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน, EBITDA 16,127 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรอยู่ที่ 3,699 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/67 มีรายได้จากการขาย 31,231ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 2,845 ล้านบาท ลดลง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขาดทุนสำหรับงวด 57 ล้านบาท ลดลง 105% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาของวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลที่สูงขึ้นและราคาขายของสินค้าที่อ่อนตัวลง รวมถึงการรวมผลการดำเนินงานจากอินโดนีเซียและผลประกอบการของธุรกิจรีไซเคิลที่ลดลง
ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในปี 67ความต้องการของตลาดในอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในอาเซียน และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกและราคาของกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง
ไตรมาส 4/67 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ตลาดภายในประเทศในอาเซียนมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์จากประเทศจีนเริ่มฟื้นตัว และมีแนวโน้มนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม จากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับของกรอบแนวโน้มขาลงที่ 16.50-17.00 หลังจากปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นมีโอกาสฟื้นตัวทางเทคนิคไปทดสอบแนวต้านที่ 18.00-18.50 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 20.00 แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่า 16.20 ลงไป แนวรับถัดไป 15.00
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
X คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?/
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม