#TU #ทันหุ้น - TU ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 เติบโตราว 3-4% จากปีก่อน รับพอร์ตธุรกิจในทุกกลุ่มโตต่อเนื่อง แถมควักงบลงทุนราว 4.5-5.0 พันล้านบาท ปั้นคลังระบบออโต้รับธุรกิจอาหารสัตว์เลี่ยง ปูทางโกยเงินระยะยาว แจงราคาปลาทูน่าพุ่งไม่กระทบ ระบุตุนวัตถุดิบราคาต่ำไว้เพียบ แถมเดินหน้าโมเดลหนุนการเติบโตยั่งยืน
นางสาวภิญญดา แสงศักดาหาญ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตราว 3-4% เมื่อเทียบกับปี 2567 เนื่องจากธุรกิจในกลุ่มต่างๆ ทั้งอาหารแช่แข็ง, อาหารสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ล้วนขยายตัวมากขึ้น หลังมีการทำตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม รวมทั้งบริษัทยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทุ่มงบต่อยอด
ขณะที่งบลงทุนปี 2568 นั้นทาง TU วางไว้ประมาณ 4.5-5.0 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ใช้รองรับการขยายคลังสินค้าระบบจัดเก็บและค้นหาอัตโนมัติ (ASRS) ของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ และที่เหลือใช้ปรับปรุงอื่นๆ หวังเสริมศักยภาพการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนสนับสนุนการเติบโตในอนาคตอีกทางหนึ่ง
ส่วนในแง่ประเด็นเกี่ยวกับทิศทางของราคาทูน่าที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องนั้นทาง TU ประเมินว่าคงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจแต่อย่างใด เพราะในช่วงที่ราคาทูน่าอ่อนตัวค่อนข้างมากช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจัดซื้อสำรองไว้เป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งน่าจะเพียงพอรองรับความต้องการ (ดีมานด์) ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถทำให้โปรดักส์ในกลุ่มดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ที่ดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ล่าสุดทางบริษัทยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ครั้งที่ 4 ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท หรือจำนวน 200 ล้านหุ้น โดยจะเริ่มซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2568 ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทมีจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 107 ล้านหุ้น ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้ดีขึ้น
ลุยโมเดลโตยั่งยืน
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาทาง TU ได้เปิดตัว “กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573” โรดแมปใหม่เพื่อสร้างการเติบโตครั้งสำคัญ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล โดยมี 2 โปรเจ็กต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่น ได้แก่ โปรเจ็กต์โซนาร์ (Project Sonar) ซึ่งเป็นโครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นของกลุ่มบริษัท มุ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว และโปรเจ็กต์เทลวินด์ (Project Tailwind) มุ่งเน้นเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก ส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีค่าใช้จ่ายของโครงการทรานส์ฟอร์มเมชั่น หากไม่รวมค่าใช้จ่ายดังกล่าว กำไรสุทธิในปี 2567 จะอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารธุรกิจ ทำกำไร และมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดี 0.94 เท่า มีกระแสเงินสดสูงถึง 11,705 ล้านบาท จาก EBITDA ที่แข็งแกร่ง 13,361 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติการณ์ตลอดจนความสามารถในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้ทำให้ไทยยูเนี่ยนมีความคล่องตัวและสามารถสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตได้
ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารของโลก จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices : DJSI) ประจำปี2567 ด้วยคะแนนรวมสูงสุด 85 คะแนน นับตั้งแต่ปี 2561 เราได้รับการจัดอันดับ 1 ถึง 4 ครั้ง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ
พร้อมกันนี้ ทาง TU ยังได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้เป็นหนึ่งใน “หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings” ระดับ A ประจำปี 2567 ในกลุ่ม Agro & Food Industry อีกด้วย
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม