> กองทุน > DIF

04 มีนาคม 2025 เวลา 11:50 น.

DIFปี67ปันผลรวม0.8888บ. คาดTRUEแววต่อสัญญาเช่า

#DIF #ทันหุ้น -DIF ย้ำปัจจัยพื้นฐานกองทุนยังแข็งแกร่ง เดินหน้าจ่ายปันผล Q4/67 อัตรา 0.2222บาทต่อหน่วย หนุนผลตอบแทนตลอดปี 67อยู่ที่ 0.8888 บาทต่อหน่วย โอกาสทรูต่อสัญญาเช่าเพิ่ม หนุนสร้างกระแสเงินสดจากผลตอบแทนระยะยาวให้กับพอร์ตลงทุน


นางทิพาพรรณ ภัทรวิกรม Executive Director, ผู้บริหารกลุ่มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (กองทุน DIF) เปิดเผยว่า จากปัจจัยการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ผันผวน ประกอบกับภาวะนโยบายการเงินจากธนาคารกลางทั้งในประเทศและนอกประเทศยังมีแนวโน้มตึงตัว ทำให้ภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังเป็นความท้าทาย สำหรับนักลงทุนอย่างไรก็ดี ท่ามกลางความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดทุนไทยที่ยังผันผวน การลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และรีทส์ ยังเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดทุนไทยได้ดี


*รับปันผล 7 มีนาคมนี้

โดยล่าสุด คณะกรรมการพิจารณาการลงทุน มีมติอนุมัติให้กองทุน DIF เตรียมจ่ายผลผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยกองทุน สำหรับรอบไตรมาส 4/2567 จากงวดผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1ตุลาคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567ในอัตรา 0.2222 บาทต่อหน่วย ทำให้ปี 2567กองทุนสามารถจ่ายผลประโยชน์ตอบที่รวมทั้งสิ้น 0.8888 บาทต่อหน่วย โดยมีกำหนดจ่ายให้ผู้ถือหน่วยในวันที่ 7มีนาคม 2568


กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หริอ DIF เป็นกองทุนแฟลกชิป (Flagship) ที่อยู่ภายใต้การบริหารของ บลจ. ไทยพาณิชย์ โดยกองทุน DIF เป็นหนึ่งในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีปัจจัยพื้นฐานกองทุนที่แข็งแกร่ง จากการลงทุนในกรรมสิทธิ์ของสินทรัพย์ด้านโทรคมนาคม ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบสื่อสารในประเทศ โดยกองทุน DIF มีรายได้ที่มั่นคงจากสัญญาเช่าระยะยาวที่เกิดจากการให้เช่าทรัพย์สินเสาโทรคมนาคม และสายใยแก้วนำแสง (FOC; Fiber Optic Cable) กับกลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ทำให้กองทุน DIF เป็นกองทุนที่มีเสถียรภาพและสามารถรักษาระดับการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง


*มีอายุสัญญาเช่าหลัก 9 ปี

รวมถึง กองทุน DIF มีอายุสัญญาให้เช่ากับผู้เช่าหลัก 9 ปี ซึ่งด้วยโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่มากขึ้น กองทุนคาดว่ามีโอกาสที่จะได้รับการต่อสัญญาเช่าต่อไป ในอนาคต กองทุน DIF จึงเป็นกองทุนที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่มองหาการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่สูงมาก และมีโอกาสสร้างกระแสเงินสดจากผลตอบแทนระยะยาวให้กับพอร์ตลงทุน


ทั้งนี้ จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วง 3ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุน DIF มีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และทำให้มูลค่าจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินลดลง รวมถึงกำไรงวดปี 2567ที่ลดลงจากการประเมิน ซึ่งเป็นรายการขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุน อย่างไรก็ดี จากมูลค่าการประเมินทรัพย์สินที่เปลี่ยนแปลงเป็นเพียงผลของการบันทึกทางบัญชีที่สะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่นำมาใช้ประกอบการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อรายได้ กระแสเงินสด หรือความสามารถในการดำเนินงานของกองทุนแต่อย่างใด


นางทิพาพรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงของมูลค่าทรัพย์สินจากการประเมินเป็นเรื่องของการบันทึกบัญชีที่สะท้อนมูลค่าของกองทุนในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน และไม่ได้กระทบต่อพื้นฐาน หรือลดทอนศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลของกองทุนแต่อย่างใด


ทั้งนี้ จากการที่กองทุน DIF เป็นหนึ่งในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ที่มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนทุกกลุ่ม จึงสะท้อนได้ถึงความมั่นคงของธุรกิจได้ดี ที่มั่นใจได้ว่ากองทุน DIF ยังเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่มีคุณค่า ซึ่งหลังจากนี้ กองทุน DIF ยังมุ่งเดินหน้าบริหารจัดการกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาระดับการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X