#MEDEZE #ทันหุ้น - MEDEZE เผยกลยุทธ์ RMS เพิ่มรายได้แบบทวีคูณขยายเครือข่ายธนาคารสเต็มเซลล์ในต่างประเทศ เล็งเป้าฟิลิปปินส์และหวังสร้างฐานพันธมิตรนอกหวังเพิ่มปีละ 1 ประเทศ แย้มดอดเจรจาอีก 1 ราย ขณะที่แผนซื้อที่ดินสามพราน 30 ไร่ ยังรองรับธุรกิจเพื่อผลิตน้ำยาเลี้ยงเซลล์ ลดต้นทุนได้ 1 ใน 3 ของการนำเข้า พร้อมย้ำเป้ารายได้ 2568 เติบโต 25-30% ทะลุ 1,000 ล้านบาท

นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE ผู้นำธุรกิจธนาคารสเต็มเซลล์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า แผนธุรกิจของบริษัทจะยึดกลยุทธ์เพิ่มรายได้แบบทวีคูณ หรือ Revenue Multiplicative Strategy : RMS ผ่านการขยายเครือข่ายธนาคารสเต็มเซลล์ในต่างประเทศ การสร้างรายได้จากค่าแฟรนไชส์ ค่าสิทธิบัตร และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ นำไปสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมกับพัฒนาศักยภาพเพิ่มความสามารถทำกำไรให้สูงขึ้น

ทั้งนี้โครงสร้างหลักของรายได้บริษัทจะยังมาจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์ต้นกำเนิดในประเทศ จากการเพิ่มขนาดทีมขาย เพิ่มพันธมิตรทางการค้าที่เป็นตัวแทนให้บริการ หรือ Dealer และตัวแทนจำหน่าย หรือ Agent ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการมาจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Stem Cell ได้มากขึ้น

@เป้าหมายการเติบโต

อีกทั้งกลุ่มบริษัทมีเครือข่ายพันธมิตรที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงสถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจใหม่ MEDEZE Hair Renaissance ธนาคารแช่แข็งเซลล์รากผมแห่งแรกในเอเชีย ที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และรับฝากเซลล์รากผม ซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายให้บริการลูกค้า 500 เคส ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็น 5,000 เคส ภายในปี 2573

ในขณะเดียวกันบริษัทได้เดินหน้าในการขยายธุรกิจไบโอเทคโนโลยีในประเทศฟิลิปปินส์ ในการจัดตั้งธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด หรือ Cell Banking Biotechnology ซึ่งประกอบไปด้วย ห้องปฏิบัติการด้านตรวจวิเคราะห์ คัดแยก เพาะเลี้ยง และจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับความต้องการในการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดในฟิลิปปินส์ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในอนาคต รวมถึงรายได้ธุรกิจที่ปรึกษาด้านธุรกิจจากต่างประเทศ และรายได้จากค่าสิทธิในการ

ใช้แบรนด์สินค้า MEDEZE จากตัวแทนให้บริการในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2568 โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตที่ระดับ 25-30% ทะลุ 1,000 ล้านบาท จากปี 2567 ที่มีรายได้รวม 897.22 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทคาดหวังในระยะยาวจะเพิ่มพันธมิตรในประเทศต่างๆ ผ่านความร่วมมือเพิ่มปีละ 1 ประเทศ ภายใต้ความรอบคอบเชิงความเข้าใจกฎเกณฑ์ข้อจำกัดในแต่ละประเทศ และการประเมินผลตอบแทนอย่างระมัดระวังด้วย ทั้งนี้บริษัทมีตัวแทนแล้วในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และกัมพูชา

@ลงทุนเพิ่มศักยภาพ

นอกจากนี้บริษัทได้เตรียมสร้างธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดแห่งใหม่ โดยได้ซื้อที่ดิน 30 ไร่ มูลค่า 552ล้านบาท อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และรองรับการเติบโตในระยะยาว ตามความต้องการของตลาด Stem Cell ที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งฐานลูกค้าชาวไทย และต่างชาติ ซึ่งได้รับปัจจัยเชิงบวกจากการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนธุรกิจเซลล์ต้นกำเนิดอย่างเต็มที่ และจัดให้อยู่ในกลุ่มนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือ ATMPs มีการประกาศแผนชัดเจนในการสนับสนุนธุรกิจเซลล์ต้นกำเนิดเป็นธุรกิจที่สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

และภายใต้พื้นที่ใหม่นี้ จะมีการสร้างอาคารลงทุนอีกกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะพัฒนาหน่วยธุรกิจเพื่อผลิตน้ำยาเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดเอง แทนที่การนำเข้าน้ำยาจากต่างประเทศซึ่งมีข้อจำกัดด้านอายุเก็บรักษาที่คงอยู่ในคุณภาพดีที่สุดได้ราว 6 เดือนเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทมีองค์ความรู้ด้านการผลิตน้ำยาเลี้ยงเซลล์อยู่แล้ว ซึ่งการผลิตเองจะมีต้นทุนเพียง 1 ใน 3ของการนำเข้า ส่งผลดีต่อความสามารถทำกำไรในระยะยาว

ช่องทางเฟสบุ๊ก ติดตามข่าวได้ที่เพจ ทันหุ้นออนไลน์

https://www.facebook.com/thunhoonnews