#MAJOR #ทันหุ้น-ฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ออกบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/68 จะอยู่ที่ 15 ล้านบาท ลดลง 89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือ YoY และคาดว่ารายได้จะอยู่ที่ 1,399 ล้านบาท ลดลง 19% สาเหตุที่ผลดำเนินงานลดลง เนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลิวูดเรื่อง “Captain America: Brave New World” และ “Snow White” ทำรายได้ต่ำกว่าที่คาดไว้มาก ขณะที่ภาพยนตร์เรื่อง นาจา 2 ที่สร้างสถิติภาพยนตร์แอนิเมชั่นรายได้สูงสุดตลอดตลาดทั่วโลก ก็ทำรายได้ในประเทศไทยได้ไม่มากนัก ส่งผลให้งวดไตรมาส 1/68 ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาทเลย
โดยรายได้ภาพยนตร์ที่ลดลง โดยเฉพาะภาพยนตร์ฮอลิวูด ส่งผลอย่างมากต่อยอดขาย Popcorn ในโรงหนัง เนื่องจากความนิยมในการซื้อป๊อปคอร์น จะขึ้นอยู่กับลวดลายของถังป๊อปคอร์น ที่มีความเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ที่เข้าฉาย โดยรายได้ Concession คาดจะลดลง 30%YoY ขณะที่รายได้โฆษณาในโรงภาพยนตร์คาดลดลง 8%YoY
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/68 มองว่ามีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะมีภาพยนตร์ฮอลิวูดฟอร์มยักษ์ที่คาดหวังจะสร้างรายได้สูงอย่างเรื่อง Thunderbolts ( เข้าฉาย 1 พ.ค ) และ Mission Impossible 8 ( เข้าฉาย 21 พ.ค ) รวมไปถึงภาพยนตร์ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องทั้งภาพยนตร์ไทยอย่าง “เดอะ สโตน พระแท้ คนเก๊” , สุสานคนเป็น, หลวงพี่แจ๊สโคตรซิ่ง” และภาพยนตร์ฮอลิวูดเรื่อง How to train the dragon เป็นต้น เปรียบเทียบกับงวดไตรมาส 2/67 ที่มีปรากฏการณ์หนังไทยทำเงินเรื่อง “หลานม่า”
สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก เพราะค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของโลก จะนำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ออกฉายจำนวนมาก หลังมีการปรับแผนเลื่อนฉายภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการหยุดงานของนักเขียนบทและโรคระบาด ในขณะที่ภาพยนตร์ไทยที่เคยทำรายได้ถล่มทลายในอดีตก็จะมีการทำหนังภาคต่อออกมาในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยโรงภาพยนตร์ที่น่าจับตามากที่สุดคือ Avatar 3 และธี่หยด3 จะออกฉายในไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็นไฮซีซั่นธุรกิจโรงภาพยนตร์เช่นเดียวกับไตรมาส 2
**หั่นกำไรปี 68 ลง 21%
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส ได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 21% จาก 857 ล้านบาท เหลือ 677 ล้านบาท ต่ำกว่าปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 744 ล้านบาท บนมุมมองเชิงอนุรักษ์นิยมมากขึ้น โดยสิ่งที่ MAJOR ให้ความสำคัญอย่างมากในปีนี้คือการควบคุมต้นทุนอย่างจริงจัง โดย MAJOR จะทยอยติดตั้งเครื่องจำหน่ายเครื่องดื่มและป๊อปคอร์นอัตโนมัติ(Selk-Ordering Kiosk :SOK) จำนวน 30 เครื่อง ในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่เพื่ออำนวยความสะดวกและลดจำนวนพนักงานขาย คาดจะลดต้นทุนลงได้ 30-40 ล้านบาท
รวมถึงการเจรจาต่อรองกับ Supplier และ Vendor ด้านระบบ IT เพิ่มเติม ซึ่งประเมินว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ประมาณ 50 ล้านบาท พร้อมมองหาโอกาสใหม่ๆในการสร้างรายได้เพิ่มเติมจากธุรกิจป๊อปคอร์นนอกโรงหนังที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
หลังปรับลดประมาณการกำไร ทำให้ราคาเหมาะสมที่ประเมินลดลงจาก 20.00 บาท เหลือ 17.00 บาท แม้จะมี Upside สูงเทียบกับราคาปัจจุบัน แต่แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/68 ที่ไม่สดใส ทำให้ราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ไม่น่าจะสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้จึงปรับคำแนะนำลงจาก Outperform เป็น Neutral
ทั้งนี้ราคาเหมาะสมของMAJOR จะขยับขึ้นจาก 17.00 บาท เป็น 18.50 บาทได้ หาก MAJOR มีการลดทุนด้วยการตัดหุ้นซื้อคืนที่ไม่ได้จำหน่ายออกจำนวน 71.2188 ล้านหุ้น หลังครบกำหนดขายคืนตลาดภายในวันที่ 30 เม.ย 2568
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
ช่องทางเฟสบุ๊ก ติดตามข่าวได้ที่เพจ ทันหุ้นออนไลน์
https://www.facebook.com/thunhoonnews
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
X คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?/
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม