#scgp #ทันหุ้น - การซื้อขายหุ้นของบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP วันที่ 30 เม.ย. ราคาเคลื่อนไหวในช่วง 13.60-14.20 บาท ราคาปิดครึ่งวันเช้าที่ 13.90 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือลดลง 0.71% มูลค่าการซื้อขาย 114.50 ล้านบาท
.
IAA Consensus โบรกเกอร์ให้คำแนะนำ “ซื้อ” 8 ราย แนะนำ “ถือ” 7 ราย และแนะนำ “ขาย” 2 ราย ให้ราคาเหมาะสมในช่วง 10.00-29.00 บาท มีค่ากลาง (Median) 15.50 บาท
.
บล.กสิกรไทยระบุว่ากำไรไตรมาส 1/68 ดีกว่าคาด มองแนวโน้มไตรมาส 2/68 เชิงบวก
SCGP รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 900 ลบ. ลดลง 48% YoY พลิกจากผลขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/67 ผลลัพธ์ดีกว่าคาด 15%
บล.กสิกรไทยมีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยต่อการประชุมนักวิเคราะห์ ผู้บริหารคาดว่าโมเมนตัมเชิงบวกจะดำเนินต่อไปในไตรมาส 2/68โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการเดิมสต๊อกสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
บล.กสิกรไทยคงคำแนะนำ "ซื้อ" และปรับราคาเหมาะสมเพิ่มจาก 14.00 บาท เป็น 15.50 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไร 4-6% และการปรับเพิ่มตัวคูณมูลค่าหุ้น
.
บล.เคจีไอระบุว่า SCGP รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 900 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าประมาณการอย่างมาก เนื่องจากต้นทุนลดลงและอุปสงค์ฟื้นตัว แม้ว่ากำไรจะลดลง YoY แต่การดำเนินกลยุทธเชิงรุก การกระจายความเสี่ยง การมุ่งเน้นตลาดในประเทศ และการควบคุมต้นทุนที่เข้มงวดได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพดี ขณะที่ บล.เคจีไอปรับเพิ่มกำไรปี 2568-2570F ขึ้น 6-13% และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 16.00 บาท สะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่แข็งแกร่งและต้นทุนการเงินต่ำลง การที่ความเสี่ยงด้านการค้าที่คลี่คลายลงและ valuation ยังต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น SCGP จึงน่าสนใจโดยมีโอกาส re-rating ในระยะสั้นได้
.
บล.บัวหลวง คาดว่ากำไรหลักจะเติบโต QoQ ในไตรมาส 2/68 โดยมีปัจจัยหนุนจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (รวมถึง Fajar)
บล.บัวหลวงคาดว่าปริมาณขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น(เนื่องจากไม่มีวันหยุดยาวในเวียดนาม และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ ระงับการเก็บภาษีนำเข้าที่เข้มงวดเป็นเวลา 90 วัน)
คาดว่าราคาขายจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย) ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบน่าจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ดังนั้น อัตรากำไรของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรน่าจะทรงตัว QoQ เป็นอย่างน้อย ในแง่ของ YoY กำไรหลักในไตรมาส 2/68 มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์และอัตรากำไรลดลง
กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 คิดเป็น 25% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2568 ที่ 3,549 ล้านบาท (ลดลง 4% YoY) ซึ่งบล.บัวหลวงยังคงประมาณการไว้ไม่เปลี่ยนแปลง คาดการณ์การเติบโตของกำไรหลัก QoQ ในไตรมาส 2/68 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นต่อไป
ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 2568 ที่ 16.9 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 17.7 เท่า) และ PBV ณ สิ้นปี 2568 เพียง 0.6 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 1.0 เท่าค่อนข้างมาก) ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดได้สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและอินโดนีเซียไปในราคาแล้ว บล.บัวหลวงจึงมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม
.
บล.กรุงศรี คาดการแข่งขันจะสูงขึ้นในครึ่งปีหลัง 2568 คงคำแนะนำ Neutral ปรับลดประมาณการกำไรปกติ 2568-69 ลง -7-17% สะท้อนการแข่งขันราคาที่สูงขึ้นในครึ่งปีหลัง 2568 เป็นต้นต้นไป จากคาดผลกระทบ Reciprocal Tariff ต่อ demand จีน ที่ทำให้เกิด oversupply 1-2 mta (capacity ใน จีนราว 75 mta/ อินโดฯ ราว 7 mta) ออกมาในภูมิภาคและทำให้การแข่งขันราคารุนแรงขึ้น ปรับราคาเหมาะสมเป็น 16.00 บาท/หุ้น (เดิม 19.00) คงคำแนะนำ Neutral คาดประโยชน์ของ lagged effect ต้นทุนกระดาษจะลดลงเรื่อยๆ จนไม่พอชดเชยราคาขายที่ลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ส่งให้กำไรทั้งปี 2568 ทรงตัว การฟื้นในครึ่งปีแรก 2568 สะท้อนในราคาหุ้นระดับหนึ่งแล้ว
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม