#EGCO #ทันหุ้น-บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ไตรมาส 1/68 มีกำไร 3,576.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 1,662.40 ล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้น 3,475% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/67 สาเหตุหลักจากการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในไรเซ็ก และบีอาร์ดับบลิวเอฟ โดยรายการซื้อขายสิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2568 และ วันที่ 7 มี.ค. 2568
ในไตรมาส 1/68 มีกำไรจากการดำเนินงานเท่ากับ 1,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักจากเคซอน และเอสบีพีแอล มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงลดลง เนื่องจากมีระยะเวลาการซ่อมบำรุงตามแผนน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับ หยุนหลิน คัมแพซ และบีพียู มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม พาจู อีเอส มีอัตราค่าไฟฟ้าต่อหน่วยลดลง และลินเดน ทอปโก รายได้ค่าขายไฟฟ้าลดลง ประกอบกับบีแอลซีพี และเอ็นทีพีซี มีปริมาณการขายไฟฟ้าลดลง เนื่องจากมีระยะเวลาการซ่อมบำรุงตามแผนมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับไตรมาส 4/67 กำไรจากการดำเนินงานลดลง 29% สาเหตุหลักจากบีแอลซีพี เคซอน และเอ็นทีวันพีซี มีปริมาณการขายไฟฟ้าลดลง เนื่องจากมีระยะเวลาการซ่อมบำรุงตามแผนมากกว่าไตรมาสก่อน ประกอบกับหยุนหลินมีรายได้อื่นลดลง เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ค่าสินไหมทดแทนในไตรมาสก่อน และเอ็กพีซีแอล มีประมาณน้ำไหลผ่านโรงไฟฟ้าลดลง อย่างไรก็ตาม พาจู อีเอส เอสบีพีแอล และลินเดน ทอปโก้ มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
รายได้รวมไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 10,838 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักจากบริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอมมีปริมาณการสั่งจ่ายไฟฟ้าลดลง และเคซอนมีรายได้ค่าขายไฟฟ้าลดลง เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงต่อหน่วยลดลง และหากเทียบกับไตรมาส 4/68 ลดลง 3% สาเหตุหลักจาก เคซอน มีการซ่อมบำรุงตามแผนในไตรมาสที่ 1/68 และซีดับบลิวเอฟ มีปริมาณการขายไฟฟ้าลดลง ประกอบกับการขายเงินลงทุนในบีอาร์ดับบลิวเอฟ อย่างไรก็ตามบริษัทผลิตไฟฟ้าขนอมมีปริมาณการสั่งจ่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group โชว์ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ทะยานต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 3,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า RISEC สหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ในขณะเดียวกัน EGCO Group เร่งเครื่องแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก โดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างรายได้และผลกำไรตามเป้าหมาย
ดร. จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลกเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวนอย่างมาก จากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม EGCO Group ยังสามารถบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอและการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 1/2568 มีความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่สำคัญ นอกจากการปิดดีลขายหุ้นทั้งหมดของโรงไฟฟ้า RISEC ในสหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ในออสเตรเลีย ได้แก่ การจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบ 80 ต้น รวม 640 เมกะวัตต์ ของโรงไฟฟ้า Yunlin ในไต้หวัน การลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ ระยะเวลา 15 ปี ของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ EGCO Group ได้ลงนามสัญญาซื้อหุ้น 49% ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll ในสหรัฐอเมริกา และการเพิ่มทุน 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน CDI ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ในอินโดนีเซีย
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 EGCO Group รับรู้รายได้รวม 10,838 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 3,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115% หรือ 1,915 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีแล้ว ซึ่งมีปัจจัยบวกจากการรับรู้กำไรจากการขายหุ้นทั้งหมดในโรงไฟฟ้า RISEC ในสหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
“ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวนในปัจจุบัน EGCO Group ยังคงเดินหน้าเร่งเครื่องแสวงหาโอกาสการลงทุนและเพิ่มกำลังผลิตใหม่ในธุรกิจไฟฟ้า ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบ M&A และ Greenfield ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ “Triple P” ที่มีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรในทุกมิติ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน EGCO Group ได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกาศนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) สำหรับการลงทุนในโครงการใหม่ EGCO Group จะพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงอย่างรอบด้านอยู่เสมอ โดยครอบคลุมถึงนโยบายของแต่ละประเทศที่เข้าลงทุน เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนต่าง ๆ จะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้ตามเป้าหมาย และบริษัทสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในพอร์ตโฟลิโอได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ” ดร.จิราพร กล่าว
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม