PTTGCโชว์แกร่งเงินสด3.5หมื่นล. เพิ่มเป้าลดค่าใช้จ่าย 5,500 ล้าน

#PTTGC #ทันหุ้น - PTTGC ถอดรหัสผลงานไตรมาส1/2568 ชูทิศทางกำไรฟื้นตัวชัดจากไตรมาสก่อน เน้นบริหารต้นทุนเชิงรุก ปรับปรับโครงสร้างธุรกิจ และดำเนินกลยุทธ์ Holistic Optimization อย่ำงต่อเนื่อง ส่งผลให้ Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 102% แม้อุตสาหกรรมยังเผชิญความผันผวนจากเศรษฐกจิโลก ปรับเป้าเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายจาก 4,500 ล้านบาท เป็น 5,500 ล้านบาทปีนี้ ควบคู่กลยทุธ์ Asset Light และทรานส์ฟอร์มสู่ธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ พร้อมขับเคลื่อนกำไรเติบโตยั่งยืน ระยะยาว

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนจากไตรมาสก่อนหน้า โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 132,547 ล้านบาท

ผลประกอบการที่ดีขึ้นนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากการมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนเชิงรุก การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการดำเนินกลยุทธ์ Holistic Optimization อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (Adjusted EBITDA) อยู่ที่ 5,377 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 102% จากไตรมาสก่อนหน้า การใช้ก๊าซอีเทนเป็นวัตถุดิบมากขึ้นในกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ และการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย ก็มีส่วนช่วยให Adjusted EBITDA ปรับตัวดีขึ้นด้วย ขณะที่กลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษยังคงเติบโตได้ดี โดยเฉพาะ allnex ที่มียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงจากการปรับโครงสร้างของ Vencorex

แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมยังคงเผชิญความผันผวนจากเศรษฐกิจโลก และยังคงขาดทุนสุทธิที่ 2,567 ล้านบาท แต่ถือว่าขาดทุนสุทธิปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 ที่รายงานขาดทุนสุทธิ 11,738 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสก่อนหน้ามีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ

PTTGC ยังคงรักษาฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกว่า 12,000 ล้านบาท และเงินสดรวมกว่า 37,000 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส ซึ่งสะท้อนถึงสภาพคล่องที่มั่นคงและความสามารถในการบริหารจัดการภายใต้สภาวะตลาดที่ผันผวน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่สนับสนุนกลยุทธ์ธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTGC กล่าวว่า แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกยังเผชิญความกดดันจากความไม่แน่นอน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน อุปทานส่วนเกิน และมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ PTTGC ได้เตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน โดยมุ่งปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

จากความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในการดำเนินมาตรการพลิกฟื้นธุรกิจ PTTGC ได้ ปรับเป้าหมายการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายในปี 2568 จากเดิม 4,500 ล้านบาท เป็น 5,500 ล้านบาท เพื่อรองรับความท้าทายที่เข้มข้นขึ้นในอุตสาหกรรม แผนการเพิ่มประสิทธิภาพนี้ครอบคลุม 4 แนวทางหลัก ได้แก่

• Holistic Optimization: ปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานแบบองค์รวม และต่อยอดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ยกระดับประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร

•Portfolio Transformation: บริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุนในระยะยาว

•OPEX Saving: ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการควบคุมต้นทุนในทุกส่วนขององค์กรโดยไม่กระทบคุณภาพการดำเนินงาน

•Other Enhancements: เพิ่มความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบและเพิ่มความเป็นเลิศด้านการค้า

บริษัทฯ ได้วางแผนรับมือสถานการณ์ความไม่แน่นอนอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งบริษัทประเมินว่าผลกระทบโดยตรงยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากสินค้าที่ PTTGC ผลิตในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จำหน่ายภายในประเทศ ขณะที่สัดส่วนการส่งออกจากฐานการผลิตอื่นของ PTTGC ไปยังสหรัฐฯ มีไม่ถึง 1% สำหรับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนแปลงของทิศทางการค้า

บริษัทฯ ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเสริมความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ โดยได้วิเคราะห์สถานการณ์ในหลายรูปแบบ (scenario analysis) และวางแผนรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในทุกกรณี

ขณะเดียวกัน PTTGC ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด GC StandOut #แตกต่างอย่างยั่งยืน โดยมุ่งพัฒนาความสามารถในการแข่งขันผ่านนวัตกรรม กระบวนการทำงานที่ทันสมัย และการต่อยอดจุดแข็งเฉพาะตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างความแตกต่างผ่านการขยายธุรกิจในกลุ่มเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษและวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ Coating Resin พลาสติกชีวภาพ และเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ซึ่งดำเนินงานผ่านธุรกิจระดับโลกอย่าง allnex และ NatureWorks เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มของตลาดโลกที่มุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและการลดการปล่อยคาร์บอนอีกด้วย