> Trendtalk > BAM

10 มิถุนายน 2025 เวลา 06:10 น.

เจาะ BAM

#ทันหุ้น-ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,130-1,140 หลังจากปรับตัวลดลงไปเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,140 ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,120-1,125 ถ้าหลุดจะมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,090


สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ BAM หรือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย


BAM รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 216.77 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 48.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 423.40 ล้านบาท


บริษัท มีผลเรียกเก็บ (ไม่รวม JV) 3,192 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการจัดเก็บหนี้ NPLs จำนวน 1,955 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.9จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากการชะลอตัวของการปรับโครงสร้างหนี้ TDR รายใหม่


ทั้งนี้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ TDR รายเดิมมีแนวโน้มทรงตัว สำหรับการขายทรัพย์ NPAs เป็นเงินจำนวน 1,237 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายทรัพย์ที่อยู่อาศัยโตขึ้นร้อยละ 5.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดขายทรัพย์อาคารพาณิชย์และทรัพย์เพื่อการลงทุนหดตัวลงร้อยละ 15.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้บริษัท มีราคาขายต่อราคาประเมินทรัพย์เฉลี่ยที่ร้อยละ 88.5 (ปี 2567: ร้อยละ 86.3)


บริษัท มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 1/2568 จำนวน 1,706 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยจากลูกหนี้ขายผ่อนชำระ (การขายทรัพย์ NPAs แบบผ่อนชำระ) ลดลงร้อยละ 50.0 YoY และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.5 YoY


บริษัท มีกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายรวม 392 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27.0 YoY สาเหตุมาจากยอดขายทรัพย์ชะลอตัว


บริษัทไม่ได้ลงทุนซื้อหนี้จากสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินทยอยนำหนี้ออกมาเสนอขายในช่วงท้ายของไตรมาส จึงทำให้ปัจจุบันมีปริมาณหนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลมากกว่า 70,000 ล้านบาท บริษัทได้พิจารณาการลงทุนโดยคำนึงถึงประมาณการผลตอบแทน ความเสี่ยงในการลงทุน รวมถึงการบริหารสภาพคล่องให้เหมาะสม


ในไตรมาส 1/68 มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่น 635 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.6  YoY มีสาเหตุหลักจากการบันทึกค่าภาษีอากรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัท โดยบันทึกรายการขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3 YoY จากราคาประเมินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงตามรอบประเมินครั้งใหม่


บริษัทบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทั้งหมด จำนวน 1,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 จากปีก่อน มีสาเหตุหลักมาจากการบันทึกเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้–ดอกเบี้ยค้างรับ โดยผลขาดทุนด้านเครดิตจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้มีจำนวน 1,262 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้- ดอกเบี้ยค้างรับ จำนวน 1,140 ล้านบาท และตั้งเพิ่มตามคุณภาพหนี้จำนวน 122 ล้านบาท โดยบริษัทได้พิจารณาการตั้งเพิ่มตามหลักความระมัดระวัง และคาดว่าเพียงพอรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ


บริษัท มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 เท่ากับ 2.13 เท่า (ปี 2567 : 2.18 เท่า) หนี้สินส่วนใหญ่คือตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม เป็นแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการซื้อสินทรัพย์


นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยในงาน Opportunity Day ในวันนี้ว่า ในปีนี้เป็นปีที่ท้าทาย หลังจากนโยบายภาษีสหรัฐ ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและซัพพลายเชน รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงของไทย และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 3% จากไตรมาส 4/67


สำหรับแนวโน้มใน ณ ไตรมาส 3-4 มองว่าจะยังมี NPL เข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น และมองเป็นโอกาสของ AMC ทั้งนี้ ในต้นเดือนหน้า บริษัทจะลงนามกับพันธมิตร เพื่อดำเนินการบริหารจัดการการปล่อยเช่าที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นทางเลือก โดยจะเจาะกลุ่มเป้าหมายที่นอกเหนือจากผู้ลงทุน และผู้ซื้อทรัพย์


ทั้งนี้ในไตรมาส 2 จะมีการขายทรัพย์แปลงใหญ่ ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนและปิดการขายได้ภายในไตรมาส 2/68 อย่างแน่นอน


แนวโน้มในไตรมาส 2/68 มีผลเรียกเก็บ 4,721 ล้านบาท และยังยืนยันเป้าหมายในปีนี้ 17,800 ล้านบาท โดยจะแบ่งเป็น NPL 10,800 ล้านบาท และ NPA อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท


ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/68 คาดว่าจะมีผลเรียกเก็บอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทยังมี MOU ที่จะได้ความชัดเจนในไตรมาส 2/68 อยู่ที่ประมาณ 2 Developers และในครึ่งปีหลังอีก 2-3 Developers


สำหรับปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงาน เป็นผลจาก Big ticket backlog ของบริษัท โดย NPL มีลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการเตรียมชำระเงิน ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการชำระหนี้จากลูกหนี้รายนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วน NPA มีการขายทรัพย์ และเตรียมที่จะได้รับการชำระเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท และมีบางรายที่เลื่อนการชำระเงินในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลให้ยอดเรียกเก็บในไตรมาส 2/68 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี


ด้านแนวโน้มในไตรมาส 3/68 จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าปริมาณ NPL มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และ ขณะที่ SM Loan ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยมองว่า SM จะทยอยไหลเข้ามาเป็น NPL ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้บริษัทเข้าไปซื้อได้


ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคเหนือแนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้น หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับของโครงสร้างขาลงระยะยาว ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวไปทดสอบแนวต้านที่ 7.00 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไป 7.70 แต่มีแนวรับสำคัญที่ 6.00 ถ้าหลุดจะเป็นสัญญาณขายทางเทคนิค



รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้

Facebook คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews
Youtube คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวล่าสุด

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X