สำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ OR หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและธุรกิจค้าปลีกสินค้าและบริการอื่นๆ (Non-Oil) ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดค้าปลีกและตลาดพาณิชย์ ธุรกิจกาแฟ ร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ร้านสะดวกซื้อ และการบริหารจัดการพื้นที่
OR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 68 มีกำไรสุทธิ จำนวน 4,380 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่กำไร 3,723 ล้านบาท โดย EBITDA จำนวน 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 311 ล้านบาท (+5.0%) โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจ Global ที่มีกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้นในประเทศสปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา และกลุ่มธุรกิจ Lifestyle จากการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิได้ดีขึ้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจ Mobility ลดลงจากกำไรเฉลี่ยต่อลิตรที่อ่อนตัวลง แม้ว่าปริมาณจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันอากาศยาน
สำหรับค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง โดยหลักจากค่าจ้างบุคคลภายนอก ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (Share of gain frominvestments) ภาพรวมเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลให้ OR มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 657 ล้านบาท (+17.6%) ขณะที่ มีรายได้ขายและบริการ 182,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5%
ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Q4/67) มีรายได้ลดลง 3,482 ล้านบาท หรือลดลง 1.9% กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น 46% และมี EBITDA เพิ่มขึ้น 1,597 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.7% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยกลุ่มธุรกิจ Mobility เพิ่มขึ้น 39.6%จากภาพรวมกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ดีขึ้น กลุ่มธุรกิจ Lifestyle เพิ่มขึ้น 9.8%จากเพิ่มขึ้นทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจอื่น ๆ เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Global เพิ่มขึ้น 30.8% จากการฟื้นตัวของผลประกอบการในประเทศฟิลิปปินส์ ส่วนภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิลดลง
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในงาน “Opportunity Day” ว่า ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ทั้งในส่วนของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle และธุรกิจ Mobility ซึ่งในส่วนของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาธุรกิจร้านอาหารในลักษณะ Quick Service คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของแบรนด์ใหม่ที่จะนำเข้ามาได้ภายในช่วงต้นไตรมาส 3/68 ส่วนรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้
บริษัทเตรียมงบลงทุนปีนี้ประมาณ 18,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นเงินลงทุนในธุรกิจ Mobility สัดส่วน 40.5% เช่น การขยายสาขาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ เพิ่มจำนวน 250 แห่ง (เป็น DC Fast Charge จำนวน 650 หัวชาร์จ) และสถานีบริการ PTT Station ในประเทศจำนวน 100 แห่ง เป็นต้น
ด้านธุรกิจ Lifestyle วางงบลงทุนสัดส่วน 38.5% ได้แก่ การขยายสาขาร้าน Café Amazon รวมถึงเตรียมเงินสำหรับดีล M&A หรือ JV ธุรกิจใหม่ๆที่กำลังจะเข้ามา กลุ่มธุรกิจ Global สัดส่วน 14.7%จะเน้นพัฒนาสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ถังเก็บหรือ Terminal ต่างๆ รวมถึงขยายร้าน Café Amazon และสถานีบริการ PTT Station ในต่างประเทศ รวมถึงงบลงทุนด้านอินโนเวชั่น สัดส่วน 6.3% เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม
บริษัทวางเป้าปี 68 มีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน PTT Station เพิ่มขึ้น 1-2% จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 35%ซึ่งบริษัทมีการทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องและให้สิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้าสมาชิกใหม่ Blueplus+ ซึ่งในช่วงเดือนที่ผ่านมามีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า 3 แสนราย
แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/68 คาดว่าด้านธุรกิจ Mobility ปริมาณขายอาจจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงและฤดูกาลหน้าฝนที่เริ่มเข้ามา ซึ่งทำให้กำไรอาจมีผลกระทบจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันเล็กน้อย ส่วนธุรกิจ Lifestyle คาดว่ายอดขายร้าน Café Amazon ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากสภาวะอากาศที่ร้อน รวมถึง EBITDA Margin ยังคงแข็งแกร่ง
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
FACEBOOK :
ท้นหุ้น คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
ทันหุ้นออนไลน์ คลิก https://www.facebook.com/thunhoonnews
YOUTUBE : Thunhoon คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
Tiktok : Thunhoon คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_/
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม