ทันหุ้น-สู้โควิด-ครม.ไฟเขียวโครงการยางหุ้มแบริเออร์ พร้อมหลักนำทาง วงเงินกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี (63-65) ใช้ยางรวม 6 แสนตัน หนุนดีมานด์ยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้น หวังช่วยพยุงราคายาง ฟากโบรกมองยอดใช้ปีละกว่า 2 แสนตันดูดซัพพลายส่วนเกินได้ มองหุ้นที่ได้รับอานิสงค์คือ STA เป้า 39 บาท NER เป้า 3.10 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหว การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอให้กระทรวงการคลังดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 โดยเพิ่มเติมแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนำทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราตามนโยบายรัฐบาลในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ

*ไฟเขียวงบ8.5หมื่นล้าน

โดยกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักมีแนวทางส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนโดยใช้ผลผลิตจากยางพารา ประกอบด้วย 1.แผนการดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ และหลักนำทางยางธรรมชาติ ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทในปีงบประมาณ 2563 – 2565 มี RFB 12,282.735 กิโลเมตร RGP 1,063,651 ต้น งบประมาณรวม85,623 ล้านบาท ด้านผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ 30,108 ล้านบาท

อีกทั้งยังมีแผนการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยใช้ยางพาราในการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีตและหลักนำทางยางธรรมชาติ ซึ่งกรมทางหลวงชนบทจะกำหนดรูปแบบและมาตรฐาน ให้ร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง โดยจะจัดซื้อแผ่นยางธรรมชาติครอบกำแพงคอนกรีตและหลักนำทางยางธรรมชาติดังกล่าวจากร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรองโดยตรง เพื่อนำมาใช้ในงานด้านความปลอดภัยงานทาง

*STA-NER รับผลดี

ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึงโครงการดังกล่าวจะช่วยในเรื่องของความต้องการใช้ยางธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมยางพาราในประเทศ ช่วยพยุงราคายางพาราไม่ให้ปรับตัวลดลง อีกครั้งโครงการดังกล่าวยังเป็นการสนับสนุนการใช้ยางพาราในประเทศ

นอกจากนี้ยังได้มีการสอบถามผู้ประกอบการยางพารา ในเรื่องของโครงการดังกล่าว คาดว่าในระยะเวลา 3 ปี จะมีปริมาณการใช้ยางธรรมราว 6 แสนตัน หรือปีละกว่า 2 แสนตัน ทั้งนี้ปัจจุบันความต้องการใช้ยางพาราในประเทศอยู่ที่ราวปีละ 6-7 แสนตัน แม้ว่าปริมาณการใช้ยางอาจจะเพิ่มขึ้นไม่สูงมากนัก แต่ก็ส่งผลดีสามารถดูดให้ซัพพลายส่วนเกินยางลดลงบ้าง

ทั้งนี้หุ้นที่ได้รับอานิสงค์จากโครงการดังกล่าวได้แก่บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)หรือSTA และบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน)หรือNER ซึ่งทั้งสองบริษัทจะมีโอกาสที่จะซัพพลายยางให้แก่ผู้ประกอบการที่ทำการผลิตแบริเออร์ พร้อมหลักนำทางประเมินราคาเหมาะสม NER ที่ 3.10 บาท

ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง STA ว่า มีมุมมอง เชิงบวกต่อผลประกอบการของไตรมาส 2/2563 โดยหนุนจากราคาขายที่สุงขึ้นทั้งยางธรรมชาติ และถุงมือยาง ได้ปรับกำไรปี 2563  ขึ้น 88% เนื่องจากธุรกิจถุงมือยางในช่วงไตรมาส 1/2563 ดีกว่าที่คาด คงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 39.90 บาท