ทันหุ้น –สู้โควิด –GULF จ่อเซ็นสัญญามอเตอร์เวย์ใน 1-2 สัปดาห์นี้ พร้อมลุยเจรจาลงทุนโรงไฟฟ้าในเอเชีย-ยุโรป คาดสรุปปีนี้มากกว่า 1 โครงการ ย้ำต้องถือหุ้นมากกว่า 50% เล็งนำเข้า Spot LNG 1 ลำ จำนวน 6.5 หมื่นตันปลายปีนี้ ส่วนงบลงทุนรวม 5-6 ปี ตั้งไว้ 1.4 แสนล้านบาท ฟากโบรกมองเป็นหุ้นปลอดภัย ผลงานเติบดตสูง เชียร์ซื้อ ชี้เป้า 42 บาท

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าในการศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าต่อเนื่อง โดยจะเน้นเป็นโครงการในต่างประเทศที่มีโอกาสเติบโตสูง อย่างในเวียดนาม เอเชียและยุโรป คาดว่าจะได้ข้อสรุปปีนี้มากกว่า 1 โครงการโดยรูปแบบการลงทุนจะมีทั้งการร่วมทุนและการเข้าซื้อกิจการ หรือ acquisition เพื่อจะสามารถรับรู้ผลการดำเนินงานได้ทันที ทั้งนี้นโนยายการลงทุนนั้นต้องมีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า 50% นอกจากนี้การที่ดอกเบี้ยปรับตัวลดลงทำให้บริษัทมีโอกาสทางการลงทุนมากขึ้นจากต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ

*จ่อเซ็นสัญญามอเตอร์เวย์

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจของบริษัทยังเติบโตได้ต่อเนื่อง คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% สถานการณ์โควิด-19 ไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัทมากนัก ซึ่งบริษัทมีการปรับตัวในภาวะที่มีการแพร่ระบาด เพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนไปได้ ขณะเดียวกันบริษัทมีการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ซึ่งคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ สำหรับโครงการมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะมีการลงนามสัญญา PPP ในช่วง 1-2 สัปดาห์จากนี้ มูลค่าการลงทุนที่ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ในปลายปีนี้บริษัทคาดว่าจะเริ่มนำเข้าธรรมชาติเหลว (LNG) แบบ Spot จำนวน 1 ลำ ปริมาณ 65,000 ตัน เพื่อใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ซึ่งเป็นไปตามแผนหลังจากที่บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (shipper) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นปริมาณ 3 แสนตันต่อปี ซึ่งจะซัพลายให้กับโรงไฟฟ้า SPP ของบริษัทจำนวน 19 โรง

*งบลงทุน 6 ปี 1.4 แสนล.

ขณะที่นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า บริษัทตั้งบลงทุนรวม 5-6 ปีไว้ที่ 1.4 แสนล้านบาท เพื่อลงทุนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น โครงการ IPP ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ GSRC และ GPD ขนาด 5,300 เมกะวัตต์ ขณะนี้การก่อสร้างมีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนงาน มีกำหนดที่จะเปิดดำเนินการตามแผนระหว่างปี 2564-2567

อย่างไรก็ดีฐานะการเงินของบริษัทมีความแข็งแร่ง และยังแผนเตรียมจะออกหุ้นกู้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ช่วงกลางปีนี้ อีกทั้งอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (D/E) ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ 1.51 เท่า ทำให้ยังมีความสามารถในการระดมทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ เพื่อสนับสนุบสนุนการเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5 หมื่นล้านบาท และแตะ 1.4 แสนล้านบาท ในปี 2568

*หุ้นปลอดภัย-เติบโตสูง

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุถึง GULF ว่าถือเป็นหุ้นปลอดภัยที่แนวโน้มไตรมาส 2/2563 แข็งแกร่งที่สุด คาดว่า GULF จะรายงานกำไรไตรมาส 2/6253 ที่ 1,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน และ 14% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้แรงหนุนจากกาลังการผลิตใหม่, ราคาก๊าซที่ลดลง, และกำไรจากโรงไฟฟ้า IPP ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังน่าจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากอัตราแลกเปลี่ยนก้อนใหญ่ในไตรมาสนี้ด้วย ส่งผลให้กำไรสุทธิออกมาน่าประทับใจ และเมื่อมองไปข้างหน้า ยังคาดว่าบริษัทจะประกาศกาไรหลัก ขยายตัวต่อเนื่อง จากไตรมาสก่อน ทั้งในไตรมาส 3/2563 และไตรมาส 4/2563 ด้วยอานิสงส์จากแนวโน้มราคาก๊าซขาลง

ทั้งนี้โดยปกติกำลังการผลิตใหม่จะช่วยหนุนราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า หากมองไปยังปี 2564 GULF มีกำหนดการเริ่ม COD ใหม่รวม 1,705 เมกะวัตต์ (1,269 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นการเติบโตของกำลังการผลิตที่ 47%) โดยยูนิตแรก (กำลังผลิต 663MW) ของโรงไฟฟ้ากัลฟ์ศรีราชา (GSRC, โรงไฟฟ้าก๊าซ IPP 2,650 เมกะวัตต์) จะเริ่ม COD ในเดือนมีนาคม 2564 ตามมาด้วยยูนิตที่ 2 (663 MW) ในเดือนตุลาคม 2564 ทั้งนี้ GULF ยังมีแผนเริ่ม COD กำลังการผลิตใหม่ทุกปีตั้งแต่ปี 2564-2568 โดยมีอัตราการเติบโตของกำลังผลิตเฉลี่ย แบบทบต้นที่ 22.5% แนะนำ “ซื้อ” เป้าหมายพื้นฐาน 42.00 บาท