02 กรกฎาคม 2020 เวลา 09:26 น.
ทันหุ้น-สู้โควิด : บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มอง SET จ่อทะลุ 1350 จุด ระบุ SET Index ปิดที่ระดับ 1349.44 จุด (+10.41 จุด) รอบบ่ายเมื่อวานนี้ดัชนีเกิดแรงซื้อกลับขึ้นมาปิดที่ระดับ 1350 จุด (ขึ้นแตะเป็นครั้งที่ 3) หากเช้านี้สามารถเปิดข้ามผ่านได้จะเป็นการเปิด Upside ระยะสั้นขึ้นสู่แนวต้านถัดไปที่ 1360 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
มีหุ้น ยังสามารถถือต่อได้ รอทยอยทำกำไรที่บริเวณแนวต้าน 1360 จุด
ไม่มีหุ้น หาจังหวะเก็งกำไรที่บริเวณแนวรับ 1330 จุด หรืออีกกรณีทะลุ 1350 จุดเก็งกำไรตามโมเมนตัมรอขายที่ 1360 จุด
ประเมินแนวรับ 1330/1325 แนวต้าน 1350/1360
ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คาดดัชนีฯ เช้านี้อ่อนตัวลงตามตลาดต่างประเทศ แต่แนวโน้มสิ้นวันยังมีโอกาสสูงขึ้นจากวันก่อน นักลงทุนตอบรับในทางบวกต่อการเปิดประเทศต่างๆ แต่ยังกังวลกับการติดเชื้อของ สหรัฐฯ หลัง WHO เตือนว่าบางประเทศอาจต้องมีการ lock down รอบสอง ด้านปัจจัยในประเทศ การผ่อนคลายเฟส 5 ของไทย ยังหนุนตลาดหุ้นไว้ กลุ่มนำตลาดจะยังเป็นกลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี และการซื้อขายอาจไปกระจุกตัวที่หุ้น STGT ที่จะเข้าซื้อขายวันแรก กลยุทธ์ ยังแนะนำถือหุ้นต่อ หรือซื้อเก็งกำไรช่วงสั้น
ตลาดหุ้นทั่วโลก บวกต่อเล็กน้อย 0.46% วันที่ผ่านมา มีแรงซื้อเข้าตลาดเอเซียเล็กน้อย (ยกเว้นไทย) หลังตัวเลขเศรษฐกิจหลายประเทศเริ่มออกมาดี แต่ความกังวลต่อการติดเชื้อของสหรัฐฯ (วานนี้ +1.8%) และคำเตือนจาก WHO ว่าอาจมีประเทศที่ต้องมีการ lock down รอบสอง คอยถ่วงตลาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นวันนี้ จะยังคงมีความผันผวน การปรับฐานของตลาดหุ้นไทย ซึ่งล้อกับตลาดหุ้นอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจใกล้จบลงหากไม่มีข่าวร้ายใหม่ๆ เข้ามา เราจึงมองตลาดหุ้นไทยเป็นบวกมากขึ้นจากช่วงต้นสัปดาห์ และในการลงทุนเรายังคงเน้นเล่นสั้นๆ ไปก่อน
ราคาน้ำมันดิบเช้านี้ Brent $41.9 เหรียญ ลดลงจากคืนที่ผ่านมา แต่เนื่องจากราคาน้ำมัน จะอิงกับตัวเลขเศรษฐกิจและ demand ที่คาดจะสูงขึ้น ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ยังคงดีอยู่ในวันนี้
ตัวแปรที่ต้องติดตามในวันนี้ จะเป็นตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เดือนก่อน 47.2 จุด) และหุ้น บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (“STGT”) จะเข้าซื้อขายวันแรก (ราคาจอง 34.0 บาท; ราคาทีเหมาะสมโดย KTBST 47.0 บาท)
#Strategy
แรงซื้อลดลงไปบ้างหลังผ่านช่วงการซื้อกองทุน SSF(extra) ไปแล้ว หากดัชนีฯ ยืนบวกต่อ การปรับฐานอาจจบลงด้วย ในภาพรวม เรายังแนะนำถือหุ้นต่อ หรือซื้อเก็งกำไรช่วงสั้นๆ
หุ้นแนะนำในพอร์ต เรานำ BGRIM ออก และเพิ่ม KCE เข้ามาแทนที่ จากแนวโน้มภาคส่งออกที่จะเริ่มกระเตื้องขึ้น และยุโรปออกมาตรการกระตุ้นสนับสนุนการใช้รถ EV โดยหุ้นในพอร์ตหลัก วันนี้ KCE (10%), IVL(20%) , AAV(10%) , CK(20%), BCH(10%) ส่วนพอร์ต KTBST SET50 (Skynet) คงหุ้นเดิมไว้ AOT(20%), CBG (20%), WHA (20%), CPF(20%)
#Strategy top picks
AOT (เป้าเชิงกลยุทธ์ 62 บาท) ; AAV (เป้าเชิงกลยุทธ์ 2.15 บาท) – ไทยและอียู ผ่อนคลายการเดินทางมากขึ้น โดยอียูเริ่มให้นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจต่างประเทศ (บางประเทศ) เดินทางเข้าสู่อียูได้ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของครม. และเอื้อเกณฑ์ที่ให้คนต่างชาติเข้ามายังไทยได้มากและง่ายขึ้น เป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว
AOT แม้ผลประกอบการจะยังชะลอตัวจากเที่ยวบินและนักเดินทางที่ลดลงมากกว่าปกติ แต่เนื่องจากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ และอิงกับการเดินทาง คาดจะได้ประโยชน์ด้วย
ด้านกลุ่มสายการบิน จะบวกต่อ AAV มากสุด เนื่องจากสายการบินไทยแอร์เอเชียมีส่วนแบ่งการตลาดสายการบินสูงสุดในประเทศที่ 33% (ปี 2019)
Technical : TKN, PLANB
**บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways Up ในกรอบ 1,340-1,360 จุด โดยได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากผลการทดสอบวัคซีนเฟส 1 ของ fizer&BioNTech และ Inovio ที่ออกมาค่อนข้างดี เช่นเดียวกับตัวเลขเศรษฐกิจของหลายประเทศสำคัญทั้งสหรัฐฯ จีน และยุโรปที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัว
อย่างไรรายงานการประชุม FED ยังคงกังวลต่อการระบาดระลอกที่ 2 ซึ่งทำให้อาจจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม เรายังมองจังหวะปรับฐานของตลาดในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานที่บริเวณ 1,300 จุด+/- เทียบเท่า 2021PER ราว 15.5 เท่า โดยยังคงเน้นกลุ่ม Domestic และ Defensive Play เป็นหลัก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ โรงไฟฟ้า สื่อสารฯ รับเหมาฯ ส่วนระยะสั้นสามารถเก็งกำไรกลุ่ม Global Play และท่องเที่ยวตามพัฒนาการของวีคซีน
กลยุทธ์ : พอร์ตหลักเน้นลงทุนหุ้น Domestic และ Defensive Play//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานในช่วงตลาดปรับฐาน
หุ้นเด่นวันนี้: STGT แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2020 ที่ 45 บาท (PE 21 เท่า)
STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่สุดในไทยและอันดับ 3 ของโลก (คู่แข่งอีก 4 รายอยู่ในมาเลเซีย) ด้วยกำลังการผลิต 3.26 หมื่นล้านชิ้นต่อปี ส่งออก 88% ตลาดหลักคือสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น เยอรมนี และจีน อีก 12% ขายในประเทศ และมีแผนขยายกำลังการผลิตเป็น 5 หมื่นล้านชิ้นภายในปี 2024
บริษัทได้เปรียบในด้านต้นทุนน้ำยางข้นที่มี STA เป็น supplier หลัก โรงงานอยู่ใกล้กัน ประหยัดค่าขนส่ง ขณะที่คู่แข่งในมาเลเซียต้องนำเข้าน้ำยางข้นจากไทย
คาดกำไรปี 2020 +392% เป็น 3.1 พันลบ. กำไร 1Q20 คิดเป็น 14% ของทั้งปี แนวโน้มจะโตสูงตั้งแต่ 2Q20 เพราะรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาส ราคาขายปรับขึ้นเพราะอุปสงค์สูงมากและ supply ตึงตัว ราคา IPO คิดเป็น PE ปีนี้ 15.6 เท่า ต่ำกว่าคู่แข่งในมาเลเซียที่ 25 เท่า
*FSS เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย หุ้นสามัญของ STGT ที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก*
อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิ๊ก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิ๊ก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิ๊ก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิ๊ก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิ๊ก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิ๊ก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิ๊ก https://twitter.com/thunhoon1
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม