> เป้าลงทุน หุ้นคาร์บอนต่ำ >

16 กันยายน 2020 เวลา 14:29 น.

​ในวิกฤติ ยังมีโอกาส: e-Business ทางรอดของธุรกิจ SME ในยุคดิจิทัล

“ถ้าไม่ปรับ…ก็ไม่รอด ถ้าไม่ก้าวไปข้างหน้า…ก็คือถอยหลัง” ประโยคนี้อาจฟังดูโหดร้ายไปซักนิด  แต่เป็นข้อเตือนใจได้อย่างดีให้กับผู้ประกอบธุรกิจในยุคดิจิทัล  โดยวิกฤติโควิด-19 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของคำว่า  “ปรับตัว” เราได้เห็นผู้ประกอบการหลายราย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรายย่อย (SME)  เริ่มปรับกลยุทธ์  และเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาจับจ่ายใช้สอย  ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจบนโลกออนไลน์กันมากขึ้น ไม่ว่าซื้อเสื้อผ้า  ของกินของใช้ ของสด ของแห้ง ไปจนกระทั่งคอร์สฝึกอบรม  หรือครูสอนออกกำลังกายออนไลน์ จนเป็นความเคยชินและค่อย ๆ กลายเป็น new  normal ในที่สุด


ในช่วงที่ผ่านมา  เราจึงได้เห็น e-commerce ในไทยเติบโตสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด  ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการสร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง ผ่านทางเว็บไซต์  หรือ social media เช่น Facebook และ Instagram  ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลการใช้บริการของลูกค้าได้โดยตรงและนำมาใช้ต่อยอดในการพัฒนาสินค้าและบริการได้ดีขึ้น  หรืออาจเลือกขายผ่านตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (e-marketplace) เช่น Lazada  และ Shopee ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องลงทุนมาก  แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน ก็นับเป็นการปรับตัวที่ดี  ช่วยให้ผู้ขายเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ในวงกว้าง เรียกได้ว่า  แม้จะมีแค่ร้านเล็ก ๆ หรือไม่มีหน้าร้านเลย  แต่สามารถมีลูกค้าได้ทั่วประเทศหรืออาจจะทั่วโลกก็มีตัวอย่างให้เห็นกันแล้ว


แต่จะว่าไป...นี่เป็นเพียงแค่  “หน้าบ้าน” หรือส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจเท่านั้น  เมื่อมองในภาพรวมของทั้งกระบวนการทำธุรกิจตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง  เราจะพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงทำธุรกิจในรูปแบบเดิม  เน้นการใช้เอกสารกระดาษในขั้นตอนต่าง ๆ เป็นหลัก เช่น ใบสั่งซื้อ  ใบกำกับภาษี และใบเสร็จ ทำให้มีต้นทุนโดยรวมสูง ยุ่งยาก เสียเวลา  เสียโอกาสในการเข้าถึงบริการต่อยอดอื่น ๆ  ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันน้อยกว่าคู่แข่ง ดังนั้นแล้ว  การปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-business  ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง (e-procurement)  การผลิตและบริหารจัดการคลังสินค้า (e-inventory) การติดต่อสื่อสารกับคู่ค้า  (e-message) การขนส่ง (e-logistic) การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์  (e-payment) หรือการชำระภาษี (e-tax) จึงเป็น “ทางเลือก” ที่นำไปสู่ “ทางรอด” ในยุคดิจิทัลนี้


ตัวอย่างเช่น  การใช้ระบบ e-inventory และ e-logistic  ที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบการขายหน้าบ้าน  ทำให้เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามา  ระบบจะบริหารจัดการสต๊อกสินค้าและขนส่งสินค้าไปถึงลูกค้าได้อย่างถูกต้อง  ทันใจ การใช้ระบบ e-payment ที่ทำให้การชำระเงินสะดวก ง่าย ปลอดภัย  ต้นทุนต่ำ และมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น พร้อมเพย์ Thai QR Payment  บัตรเครดิต/เดบิต และ e-money  ช่วยทำให้กระแสเงินหมุนเวียนในธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น  รวมถึงสามารถตรวจทานการรับจ่ายเงินระหว่างคู่ค้าได้ทันที หรือการใช้ระบบ  e-tax ที่จะช่วยลดขั้นตอนและเอกสารในการชำระภาษี  สามารถตรวจสอบข้อมูลภาษีได้สะดวก และอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี  การตรวจสอบ และคืนภาษีที่รวดเร็วอีกด้วย


อีกประโยชน์หนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้  คือ  การนำข้อมูลหรือเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ไปพัฒนาต่อยอดสู่บริการทางการเงินอื่น  ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ เช่น  การนำข้อมูลจากประวัติการดำเนินธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์  หรือการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความน่าเชื่อถือสูง  มาเป็นใช้ประกอบการขอสินเชื่อออนไลน์  แทนรูปแบบเก่าที่ต้องใช้เอกสารกระดาษจำนวนมากและใช้เวลาตรวจสอบความถูกต้อง  ซึ่งจะช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อและประเมินความเสี่ยงในการกู้มีความรวดเร็วและแม่นยำขึ้น  และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME


การปรับตัวเข้าสู่  e-business ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย  ยิ่งหากกลับมาเปิดประเทศได้เหมือนเดิมแล้ว  การแข่งขันจะยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม  สินค้าและบริการจากต่างประเทศจะเริ่มหลั่งไหลกลับเข้ามาเป็นทางเลือกของผู้บริโภค  ผู้ประกอบการจำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากการทำธุรกิจดิจิทัลมาประมวลผล ต่อยอด  ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ พัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบตรงโจทย์  ครองใจลูกค้าให้ได้มากที่สุด  ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน


อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่อยู่  ๆ จะทำให้ผู้ประกอบการลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนจากการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ   ก้าวไปสู่ e-business คงต้องขอบคุณสถานการณ์โควิด-19  ที่เป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการปรับตัวในยุคดิจิทัล  เรียนรู้และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ โดยผู้ประกอบการ SME  ที่อาจยังไม่พร้อมลงทุนกับระบบ e-business ด้วยตัวเอง ก็อาจเริ่มจากการใช้  ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ซึ่งจะช่วยบริหารจัดการ  เชื่อมผสานกระบวนการต่าง ๆ ทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี  และมีความยืดหยุ่นสูงและหลากหลาย  ปัจจุบันมีทางเลือกและโซลูชันที่สามารถนำมาใช้ให้เหมาะกับธุรกิจแต่ละประเภทได้  โดยมีต้นทุนที่เหมาะสม ในราคาที่สามารถจับต้องได้


การปรับและเปลี่ยนไม่ใช่เพียงเพื่อการเอาตัวรอดให้พ้น “วิกฤติ” นี้ไปเท่านั้น แต่ถือเป็น “โอกาส” ในการวางรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและยืนได้อย่างมั่นคงในยุคดิจิทัลอีกด้วย


โดย นางสาวฐิตินันทน์ ฐิตะฐาน 

ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย


********************************************************************

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X