ถอดรหัสลงทุน 2 ธุรกิจดาวรุ่ง ‘เฮลท์แคร์-จีโนมิกส์’

โลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคิดมาก่อน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องสุขภาพด้วยแล้ว ไม่ว่าใครก็อยากเข้าถึงการรักษาที่ดีและยาที่มีคุณภาพเพื่อมีชีวิตที่ดีกันทั้งนั้น

ช่วงเวลาเกือบ 2 ปีที่ทั้งโลกยังอยู่กับวิกฤต Covid – 19  ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ที่เชื้อไวรัสมีความรุนแรง แพร่กระจายเร็ว และทำลายปอดจนถึงแก่ชีวิต รวมทั้งยังกลายพันธุ์สร้างความรุนแรงของโรคได้อีก

วิกฤตนี้เอง ทำให้บริษัทเฮลท์แคร์และจีโนมิกส์เร่งวิจัยและพัฒนา ยา วัคซีน และวิธีการรักษา จึงเป็นที่มาให้อุตสาหกรรมบริการสุขภาพ รวมไปถึงนวัตกรรมจีโนมิกส์มีบทบาทสำคัญและเป็นเทรนด์การลงทุนที่น่าสนใจ

‘เฮลท์แคร์ - จีโนมิกส์’ เมกะเทรนด์ที่เติบโตคู่กัน

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกัน Covid-19 ออกมาแล้ว แต่จากปัญหาเชื้อกลายพันธุ์ สร้างความยืดเยื้อในการรักษาโรค และคาดการณ์ไม่ได้ว่า เราจะเอาชนะเชื้อไวรัสนี้ได้หรือไม่ ท่ามกลางความต้องการจากทั่วโลกที่พยายามตุนยาและวัคซีน เพื่อดูแลประชากรในประเทศ ลดการแพร่ระบาด และสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเร็วที่สุด

พวกเราคงต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัส Covid – 19 นี้กันต่อครับ และในวันข้างหน้าจะมีโรคอะไรอุบัติใหม่เกิดขึ้นอีกหรือไม่ เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก

แต่สิ่งที่เห็นภาพชัดเจนในระยะยาว คือ ธุรกิจบริการสุขภาพ อย่างเฮลท์แคร์ จะมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ไปอีกยาวนาน เพราะมากจากคอนเช็ปต์‘เกิด(ง่าย) แก่(ยาก) เจ็บ(น้อย) ตาย(ช้า)’ ดังนั้นความต้องการเพื่อที่จะเอาชนะภาวะเหล่านี้ต้องอาศัยการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอย่างต่อเนื่อง

และยิ่งเกิดวิกฤต Covid -19  มีการใช้เเทคโนโลยีตัดต่อพันธุกรรม ที่เรียกกันว่า จีโนมิกส์มาทำการผลิตวัคซีน mRNA ทำให้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถต่อสู้กับเชื้อ Covid -19 ได้อีกหลายสายพันธุ์ ซึ่งแตกต่างกันกระบวนผลิตวัคซีนแบบดั้งเดิม คือ นำเชื้อตาย และเชื้อเป็นมาผลิตวัคซีน

นับเป็นการแจ้งเกิดวัคซีน mRNA ของ Moderna และ Pfizer ที่ร่วมมือกับ BioNTech คิดค้นและพัฒนาขึ้นมา ส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันทั้ง 3 บริษัท มียอดคำสั่งซื้อทั่วโลกของปี 2564-2565 มูลค่าราว 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกลุ่มที่ฉีด 2 เข็มแรกและเข็มสามที่เป็นบูสเตอร์โดสสำหรับเพิ่มภูมิคุ้มกัน นั่นหมายถึงรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้

นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ไปในปี 2566 ยอดคำสั่งซื้อวัคซีน Pfizer จะมีมูลค่ากว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Moderna ประมาณ 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอนาคตถ้า Covid-19 ยังอยู่ คาดว่า ทั้ง 2 ยี่ห้อจะมียอดขายวัคซีนต่อปี 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่บริษัทเฮลท์แคร์อื่นๆ ต่างเดินหน้าพัฒนาวัคซีน Covid-19 ออกมากันอย่างต่อเนื่อง สำหรับเป็นบูสเตอร์โดส หรือเข็ม 3 เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัท AstraZeneca บริษัท Johnson & Johnson บริษัท Novavax และบริษัท Sanofi ที่โดดเข้าร่วมตลาดนี้ด้วยเช่นกัน

โลกของจีโนมิกส์ ไม่ได้มีเพียงการผลิตวัคซีน mRNA สำหรับ Covid-19 เท่านั้น แต่ยังมีการพัฒนาวัคซีน mRNA สำหรับโรคอื่นๆ อีก อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคระบบทางเดินหายใจ รวมไปถึงการปลดล็อกการรักษาโรคที่ซับซ้อนหรือรักษายากด้วย

เชื่อหรือไม่ว่า โรคทางพันธุกรรมยังมีอีกกว่า 50,000 โรค ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว ในอดีตอาจจะมีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ยาก แต่ปัจจุบันนวัตกรรมจีโนมิกส์สามารถถอดรหัสทางพันธุกรรม และมีกระบวนการยีนบำบัด (Gene Therapy) ถือเป็นหนึ่งในแนวทางรักษาโรคได้ ซึ่งมีการนำมาใช้ในทางการแพทย์กันแล้ว

นอกจากนี้ จีโนมิกส์ยังนำข้อมูลทางพันธุกรรมของผู้ป่วย มาวิเคราะห์และออกแบบวิธีการรักษาอย่างมีความแม่นยำมากขึ้น และยังช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ สามารถออกแบบการรักษาโรคโดยเฉพาะบุคคล หรือป้องกันโรคที่อาจจะเกิดในอนาคตได้ อาทิ โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ ที่มีคนเป็นกันจำนวนมากขึ้น

บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับจีโนมิกส์ ส่วนใหญ่จะเป็นสตาร์ตอัปที่มุ่งต่อยอดจากงานวิจัย พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา ขณะที่บริษัทเฮลท์แคร์ใหญ่ๆ ไม่ได้ลงทุนงานวิจัยต่างๆ เองแล้ว เพราะมีต้นทุนสูงมาก แต่จะหันมาร่วมมือกับสตาร์ตอัปเหล่านี้ อีกทั้งเป็นการลดความซ้ำซ้อนและต้นทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาไปด้วย

เมื่อต้นทุนลดลงจากความร่วมมือของแต่ละบริษัท ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือใหญ่ ส่งผลต่อราคายา วัคซีน และวิธีการรักษาโรคลดลงตามไปด้วย อย่างบริษัท Moderna ก็เคยเป็นสตาร์อัปมาก่อนเช่นเดียวกัน ส่งให้ธุรกิจจีโนมิกส์ขึ้นแท่นเป็นธุรกิจดาวรุ่ง พร้อมเติบโตแรงคู่ขนานกับธุรกิจเฮลท์แคร์

แม้ว่าธุรกิจเฮลท์แคร์คือ การผสมผสานระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจกับจริยธรรม ที่หวังการเติบโตปีละ 8-10% แต่จีโนมิกส์ที่เป็นธุรกิจย่อยลงมา กลับมีโอกาสเติบโตสูงปีละ 30-40% เลยทีเดียว

ส่องตลาดเฮลท์แคร์ยังมีขนาดใหญ่อีกมาก จากเทรนด์สังคมผู้สูงวัยที่เกิดในหลายๆ ประเทศ และล่าสุดรัฐบาลจีนได้ออกนโยบายให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นคนละ 1 ปี ผ่านการพัฒนาระบบสาธารณสุข เมื่อพ้นเส้นความยากจน คนจีนหันมาเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น และมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการรักษาโรคต่างๆ

จัดพอร์ตลงทุนในหุ้น ‘เฮลท์แคร์ – จีโนมิกส์’

เมื่อศักยภาพการเติบโตของธุรกิจ ‘เฮลท์แคร์ – จีโนมิกส์’ ยังไปต่อได้อีก 10-20 ปีข้างหน้า ถามว่า เวลานี้ยังเป็นโอกาสลงทุน 2 หุ้นเมกะเทรนด์นี้ได้หรือไม่

ผมว่า คนเราไม่มีใครหนีโรคภัยไข้เจ็บได้ ซึ่งยา วัคซีน และวิธีการรักษาโรค เป็น 1 ในปัจจัยสี่ของมนุษย์ เมื่อมีนวัตกรรมอย่างจีโนมิกส์ และเทคโนโลยีอื่นๆ เข้ามาสนับสนุนอย่างการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) จะช่วยการวินิจฉัยโรคโดยไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาล การมีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดที่แม่นยำมีประสิทธิภาพ จะยิ่งทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับของกับการแพทย์และสุขภาพยังไปได้อีกไกล ตราบใดที่ความต้องการยังมีอยู่ไม่สิ้นสุด

เมื่อธุรกิจจีโนมิกส์กำลังเติบโตดีต่อเนื่อง แล้วจะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง ผมมองว่า ยังมีความเสี่ยงสูง เพราะยังไม่มีบริษัทไหนเติบโตแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือครองส่วนแบ่งตลาดได้ ดังนั้นการจะเลือกลงทุนหุ้นรายตัว ยังใหม่มาก และงบการเงินก็ยังไม่นิ่ง การวิเคราะห์หุ้นรายตัวมีความยาก

แต่คุณก็สามารถลงทุนได้แบบทั้งอุตสาหกรรม คือ ETF (Exchange Traded Fund) เนื่องจากจะมีกระจายลงทุนหุ้นต่างๆ ทั้งกลุ่ม สามารถสร้างผลตอบแทนอ้างอิงไปกับดัชนีตลาด หากเป็น Passive Fund  ซึ่งในตลาดหุ้นสหรัฐ จัดหุ้นจีโนมิกส์อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์

หากดู ETF ธีมเฮลท์แคร์และจีโนมิกส์ที่ผมแนะนำให้ลงทุนจะเป็นแบบ Passive Fund ที่ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิง และลงทุนระยะยาวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ซึ่งจะมีความเสี่ยงไม่สูงเท่า Active Fund

อย่างเช่น iShares Genomics Immunology and Healthcare ETF (IDNA) เป็น ETF ที่ให้ผลตอบแทนในรอบปี 2564 อยู่ที่ 20.28% ติด Top 3 จาก 20 กอง ETF ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ 17 กันยายน 2564) ขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนและ 6 เดือน อยู่ระดับใกล้เคียงกันที่ 14-15% แต่ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีได้สูงถึง 38.93%

IDNA มีขนาด AUM (Assets Under Management) อยู่ที่ 297 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใช้ดัชนีอ้างอิง คือ NYSE FactSet Global Genomics and Immuno Biopharma Index ที่ลงทุนใน 50 บริษัททั่วโลก ส่วนใหญ่จะอยู่ในสหรัฐฯ และจีน บริษัทเหล่านี้จะพัฒนานวัตกรรมจีโนมิกส์ ภูมิคุ้มกันวิทยา และพันธุวิศวกรรม เป็นศาสตร์แขนงใหม่ที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์และเปลี่ยนโลกในอนาคต

ตัวอย่าง 5 บริษัทที่ IDNA ลงทุนมีสัดส่วนรวมกันถึง 26-27% บริษัท Moderna บริษัท Intellia Therapeutics บริษัท BioNTech บริษัท Merck และบริษัท Regeneron Pharmaceuticals ล้วนเป็นบริษัทใหญ่ชื่อดัง

อีก ETF ที่น่าสนใจ คือ ธีมเฮลท์แคร์ iShares Global Healthcare ETF (IXJ) มีขนาด AUM ใหญ่กว่าอยู่ที่ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลตอบแทนอ้างอิงตามดัชนี S&P Global 1200 Health Care Index เป็นตัวแทนของมากกว่า 100 บริษัทขนาดเล็กและใหญ่ในธุรกิจเภสัชกรรม เทคโนโลยีชีวภาพและเครื่องมือการแพทย์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก

หุ้นที่ IXJ ลงทุน 5 อันดับแรกสูงสุดมีสัดส่วนรวมกันถึง 20% ได้แก่ บริษัท Johnson & Johnson  บริษัท UnitedHealth Group บริษัท Roche Holding บริษัท Pfizer และบริษัท Abbott Laborbpatories

IXJ ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน 4.85% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 14.64% และถ้าเป็น 1 ปี สูงถึง 21.25% หากถือนาน 3 ปี ผลตอบแทนย้อนหลังพุ่งขึ้นไปถึง  47.56% และ 5 ปี  86.67%  (ข้อมูล ณ 17 กันยายน 2564)

จะเห็นได้ว่า หากลงทุน ETF แบบ Passive Fund ระยะยาว 3-5 ปี จะเห็นผลตอบแทนที่น่าสนใจ เพราะลงทุนตามดัชนีอ้างอิง ค่าธรรมเนียมต่ำ และความผันผวนต่ำด้วยครับ

หากคุณเชื่อมั่นว่า เฮลท์แคร์เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ แยกขาดจากกันไม่ได้และจีโนมิกส์เป็นส่วนต่อยอดทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น ถือเป็นโอกาสที่คุณจะกลับมาจัดพอร์ตลงทุนให้กระจายความเสี่ยงในธีมธุรกิจเหล่านี้ครับ

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO จาก Jitta Wealth

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1