ทันหุ้น – AOT ชี้โอไมครอนไม่กระทบบรรยากาศการเดินทางในประเทศ ย้ำตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 คนไทยยังเดินทางเพิ่มขึ้น ด้าน CENTEL เผยอัตราการจองห้องพักต่างประเทศพุ่ง แม้ในประเทศลดลง มั่นใจรายได้ต่างประเทศหนุนธุรกิจโรงแรมปีนี้ขาดทุนลดลง ขณะที่ธุรกิจอาหารรายได้ฟื้นแตะ 1.2 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 แม้ต้นทุนวัตถุดิบพุ่ง ด้าน ERW เดินหน้าลงทุนโรงแรมเครือHOP INN เพิ่ม 6-8 แห่ง กว่า 1 พันล้านบาท

ดร.นิตินัย  ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า แม้ประเทศไทยจะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่กดดันบรรยากาศการเดินทางภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารภายในประเทศผ่านท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งในความรับผิดชอบของ AOT ตั้งแต่วันที่ 1-10 มกราคม 2565 ที่ผ่านมายังคงเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องจากช่วงเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา (MoM) สำหรับปริมาณผู้โดยสารต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 1-10 มกราคม 2565 ปรับตัวลดลง MoM เนื่องจากการยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน

นายกันย์  ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน กดดันบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยยังคงมียอดจองที่พักในจังหวัดท่องเที่ยว อาทิ ภูเก็ต, หัวหิน ฯลฯ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดจองห้องพักล่วงหน้าโรงแรมในต่างประเทศทั้งมัลดีฟส์ และดูไบยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

“เนื่องจากกลุ่มบริษัทมีโรงแรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศจึงได้รับผลกระทบในกรอบจำกัด เนื่องจากอัตราการจองห้องพักโรงแรมในต่างประเทศประจำเดือนมกราคมยังคงขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนภาพรวมอัตราการจองห้องพักในประเทศประจำเดือนมกราคมอ่อนตัวจากเป้าหมายที่วางไว้เล็กน้อย กดดันจากโรงแรมในกรุงเทพฯ ส่วนโรงแรมในต่างจังหวัดเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมยังคงเป็นไปตามเป้าหมายประจำเดือนที่ตั้งไว้”

เบื้องต้นกลุ่มบริษัทยังคงคาดว่าผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจโรงแรมทั้งปี 2565 จะมีผลขาดทุนสุทธิลดลง เนื่องจากครึ่งแรกของปี 2565 ยังคงต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก และคาดหวังว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหาร เบื้องต้นคาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งปี 2565 ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 (2562) ได้ที่ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบเร่งตัวขึ้นทุกรายการ แต่กลุ่มบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานโดยการเจรจาปรับเงื่อนไขการชำระเงินกับคู่สัญญา, เปลี่ยนแหล่งจัดหาวัตถุดิบ ฯลฯ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาให้นานที่สุด

“สำหรับกลุ่มธุรกิจอาหาร เบื้องต้นบริษัทได้เจรจากับคู่ค้าปรับสัญญาการชำระเงิน รวมถึงเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบจากฝั่งยุโรปมาเน้นภายในทวีปเอเชีย เพื่อตรึงราคาให้ได้นานที่สุด ทั้งนี้มั่นใจว่าการที่รัฐบาลไม่กลับไปล็อกดาวน์อีกจะทำให้ธุรกิจอาหารมีรายได้ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แต่มาร์จิ้นก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะพยายามปรับกลยุทธ์ได้มากน้อยอย่างไร”

ลุ้น “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 4

นางสาววรมน  อิงคตานุวัฒน์  รองกรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERWกล่าวว่า บริษัทได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนในกรอบจำกัด โดยอัตราการจองห้องพักล่วงหน้าทยอยลดลงตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2564 ต่อเนื่องเดือนมกราคม 2565 ทั้งนี้บริษัทคาดว่าหากรัฐบาลดำเนินโครงการ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 4” จะเป็นปัจจัยกระตุ้นการตัดสินใจการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ ในปี 2565 บริษัทเตรียมงบลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาท เพื่อดำเนินงานตามแผนจะขยายโรงแรมใหม่ประมาณ 8 แห่ง เน้นโรงแรมกลุ่ม HOP INN แบ่งเป็นในประเทศจำนวน 6 แห่ง และ ในประเทศฟิลิปปินส์ อีกจำนวน 2 แห่ง เบื้องต้นจะเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก

อยากลงทุนสำเร็จ เป็นเพื่อนกับเรา พร้อมรับข่าวสารได้ทุกช่องทางที่
APP ทันหุ้น ANDROID คลิก https://qrgo.page.link/US6SA
APP ทันหุ้น IOS คลิก https://qrgo.page.link/QJKT7
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1