ชวนเปรียบเทียบเทียบ หุ้นในดัชนี Hang Seng TECH กับหุ้นสหรัฐฯ ที่ทำธุรกิจคล้ายกัน

#ทันหุ้น - นักลงทุนหลายท่านอาจทราบกันแล้วว่า ดัชนี Hang Seng TECH เป็นดัชนีอ้างอิงของ ChinaAMC Hang Seng TECH Index ETF (3088.HK) กองทุน ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และเป็นหลักทรัพย์อ้างอิงของ DR “CNTECH01” จากหลักทรัพย์บัวหลวงในฟากสหรัฐฯ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ มีอยู่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Apple, Microsoft, Google เป็นต้น ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งอย่างจีนก็ยังมีหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ เช่น Tencent, Alibaba, Xiaomi ฯลฯ เช่นกัน ที่ปัจจุบันได้รับความสนใจในหมู่นักลงทุนทั่วโลก

ทำความรู้จักดัชนี Hang Seng TECH ถ้าพูดถึงการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศจีน นักลงทุนหลาย ๆ ท่าน อาจนึกถึงดัชนี Hang Seng TECH ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ เมื่อเดือนก.ค. 63 เนื่องจากสามารถลงทุนหุ้นจีนขนาดใหญ่ได้สะดวกผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง ง่ายกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจีน และหุ้น A-Share ที่มีช่องทางในการเข้าลงทุนค่อนข้างจำกัดและเป็นดัชนีที่รวมหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ที่สุด จำนวน 30 หุ้น ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงมีลักษณะธุรกิจที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูง และต้องผ่านเกณฑ์การคัดกรองของดัชนี เช่น ต้องดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี, ลงทุนใน R&D

โดยมีค่าใช้จ่าย R&D มากกว่าหรือเท่ากับ 5% ของรายได้ หรือบริษัทจะต้องสามารสร้างอัตราการเติบโตของรายได้ ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเป็นต้นเมื่อเข้าใจภาพรวมของดัชนี Hang Seng TECH กันแล้ว เราชวนทุกท่านมาเทียบ หุ้น 5 อันดับแรก ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในดัชนี Hang Seng TECH โดยเรียงตามมูลค่าตลาดกับ 5 หุ้นเทคฯ จากสหรัฐฯ ที่มีลักษณะการทำธุรกิจที่คล้ายคลึงกัน

คู่ที่ 1 : Tencent Holdings Ltd. (700.HK) vs. Microsoft Corp. (MSFT.US)

Tencent Holdingหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของจีน มีธุรกิจแอปพลิเคชันออนไลน์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบัน เช่น วิดีโอเกม,โซเชียลมีเดีย

Microsoft ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าสุทธิปี 65 อยู่ที่ 1,947 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังทำธุรกิจและบริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่หลากหลายคล้ายกับ Tencent

คู่ที่ 2 : Alibaba Group Holding Ltd. (9988.HK) vs. Amazon.com (AMZN.US)

Alibaba Group Holding เจ้าของแพลตฟอร์มซื้อขายปลีกออนไลน์ อย่าง Alibaba, Tmall, Taobao ซึ่งเป็นธุรกิจหลักคิดเป็นสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 71% โดยรายได้แตะ 200,000ล้านหยวน ในเดือนม.ค. - มี.ค.65 เติบโตราว 9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า

Amazon.com บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใคร ๆ ก็รู้จัก นับเป็นอันดับ 1 ในสหรัฐฯ เช่นกัน คำนวณจากมูลค่าตลาดของบริษัท โดยเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ คือ Amazon.com

คู่ที่ 3 : Meituan (3690.HK) กับ Uber Technologies Inc. (UBER.US)

Meituan เจ้าของแอปพลิเคชันธุรกิจส่งอาหารและให้บริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ โดยถือว่าเป็น Super App แบบ all-in-one ที่พร้อมให้บริการ ทั้งในด้านการส่งอาหาร จำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ ฯลฯ โดยไตรมาส 1 ปี 65 รายได้จากธุรกิจส่งอาหารเพิ่มขึ้น 17.4% เมื่อเทียบปีก่อน แตะ 24,200ล้านหยวน

Uber Technologies บริษัทที่หลาย ๆ คนอาจรู้จัก โดยเป็นบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มการขนส่งโดยเป็นทั้งแอปฯ ที่ใช้ในการนำทาง หรือยังมีฟีเจอร์ Ride Sharing บริการส่งอาหาร และบริการชำระเงิน อีกด้วย

คู่ที่ 4 : JD.com Inc. (9618.HK) กับ eBay Inc. (EBAY.US)

JD.com อีคอมเมิร์ซที่มีโมเดลต่างจาก Alibaba ตรงที่ขายสินค้าเอง ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มตัวกลาง เป็นเว็บไซต์ขายปลีกออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคซื้อแบรนด์ต่างประเทศได้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ผลิตภัณฑ์แท้คุณภาพสูงโดยตรง

eBay อีกหนึ่งแพลตฟอร์มช้อปปิ้งซื้อของออนไลน์ชื่อดังจากสหรัฐฯ โดยให้บริการทั่วโลก อีกทั้งให้บริการขนส่ง และการจัดการสินค้าคงเหลือให้กับผู้ขายด้วยเช่นกัน รายได้กว่า 95% ของรายได้รวม มาจากการซื้อขายภายในแพลตฟอร์ม ขณะที่อีก 5% ของรายได้มาจากการให้บริการและการตลาด

คู่ที่ 5 : Baidu Inc. (9888.HK) กับ Alphabet Inc. (GOOGL.US)

Baidu บริษัท Search Engine ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่มีบริการต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกับ Google ซึ่งมีข้อมูลการค้นหาอยู่ในประเทศจีนทั้งหมด และยังให้บริการในธุรกิจ AI เมื่อไตรมาสล่าสุด มีการเติบโตถึง 45% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 64

Alphabet บริษัทแม่ของ Google ซึ่งเป็นบริษัท Search Engine ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของสหรัฐฯ วัดจากมูลค่าตลาด โดยมีรายได้หลักมาจากการโฆษณาที่กว่า 90% ของรายได้ไตรมาสล่าสุด (เม.ย.-มิ.ย. 65)