#LHFG #ทันหุ้น – LHFG พร้อมเสิร์ฟสินเชื่อลูกค้าไต้หวัน หลังมีแนวโน้มย้ายฐานผลิตจากจีนมาไทย หนีผลกระทบภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงเดินหน้าปล่อยสินเชื่อรายย่อย – SME หนุนพอร์ตรวมทั้งปี 2565 โต 6-7% ตามเป้าหมาย มั่นใจคุม NPL ไม่เกิน 2.5% โชว์ครึ่งแรกของปีกำไรสุทธิ 431 ล้านบาท

นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFGกล่าวถึงสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และจีนว่า กลุ่มนักธุรกิจไต้หวันได้ประเมินสถานการณ์และความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจไว้แล้ว แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มตึงเครียด ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจไต้หวันที่เข้าไปลงทุนในจีน แต่จะเป็นผลดีต่อไทย และเวียดนามในฐานะประเทศเป้าหมายที่กลุ่มธุรกิจไต้หวันต้องการย้ายฐานการลงทุนจากจีนเข้ามาในอนาคต

ดังนั้นกลุ่มบริษัทจึงจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจขึ้น เพื่อศึกษาความต้องการของกลุ่มนักธุรกิจไต้หวัน ทั้งที่อยู่ในประเทศไต้หวัน และกลุ่มนักธุรกิจไต้หวันที่อยู่ในไทย ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีประมาณ 5 พันราย รวมประชากรไต้ไหวันในไทยกว่า 2 แสนคน ซึ่งกลุ่มบริษัทมีพันธมิตรคือ CTBC Bank Co., Ltd. (“CTBC Bank”) สถาบันการเงินจากไต้หวัน ศึกษาความต้องการเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างพอร์ตสินเชื่อกลุ่มธุรกิจไต้หวันให้ประสบความสำเร็จ โดยในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไต้หวันเติบโตที่ 60% จากปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าไต้หวันที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทยรวมประมาณ 5,000 ราย

รุกสินเชื่อรายย่อย

นางสาวชมภูนุช ปฐมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank กล่าวว่า กลุ่มธนาคารคาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ช่วงครึ่งหลังของปี 2565 (2H65) ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (1H65) หนุนจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว – บริการที่ฟื้นตัวได้ดี สอดคล้องกับกลยุทธ์ในช่วงครึ่งหลังของปีที่จะรุกเข้าสู่ลูกค้ารายย่อย และกลุ่ม SMEมากขึ้น โดยมุ่งหวังผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งเป้าเติบโต 6-7% YoY

พร้อมกันนี้จะควบคุมสินเชื่อที่ไม่ให้เกิดรายได้ (NPL) ทั้งปี 2565 ไม่ให้เกิน 2.5% และจะตั้งสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (Coverage Ratio) ที่ 200%ให้สอดคล้องกับความไม่แน่นอนทั้งสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น, สถานการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงโรคระบาด-โรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นต้น

“ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องติดตามแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน-การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. อย่างใกล้ชิด แต่ด้วยภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มผ่อนคลายลง ก็คาดว่าธปท.จะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ธนาคารจะให้น้ำหนักสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก โดยจะเน้นลูกค้ารายย่อยที่เป็นซัพพลายเชนของบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ PTT, CP ฯลฯ เพื่อให้พันธมิตรฯ เหล่านั้นช่วยสแกนให้ระดับหนึ่ง ส่วนสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ยังคงต้องรอดูสถานการณ์สักระยะหนึ่ง”

ครึ่งปีแรกพอร์ตโต 17-18%

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 (1H65) ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 1,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 15.7% YoYและรายได้จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันเพิ่มขึ้น 41.6% YoY และมีกำไรสุทธิจำนวน 431 ล้านบาท

ทั้งนี้ธนาคารยังคงตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามหลักความระมัดระวังเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ และรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (Coverage Ratio) อยู่ที่ 196%โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ลดลงจากร้อยละ 2.44 ณ สิ้นปี 2564 เหลือร้อยละ 2.40 ณ ไตรมาส 2 ของปี 2565

สำหรับด้านเงินกองทุนยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 16.4% อยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ขณะที่พอร์ตสินเชื่อเติบโต 8.9% YoY โดยสินเชื่อธุรกิจเติบโต 7.2% YoY สินเชื่อรายย่อยเติบโต 18.3% YoY ทั้งจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อส่วนบุคคล รวมถึงการขยายตัวได้ดีของกลุ่มลูกค้าไต้หวัน ที่เติบโต 49.8% YoY และสินเชื่อ Trade Finance เติบโต 68% YoY สอดคล้องกับธุรกิจส่งออกและนำเข้าของไทยที่มีศักยภาพการเติบโตสูง