#MTI #ทันหุ้น MTI คาดปีนี้โตได้ 6-10% รับอานิสงส์บวกหลายทาง ทั้งเศรษฐกิจฟื้น การกลับมาใช้ชีวิตตามปกติหนุนการจราจรคึกคัก การปิดตัวของบริษัทที่ได้รับผลกระบบจากเคลมโควิด หนุนเม็ดเงินไหลเข้าบริษัทอื่นๆในธุรกิจ ย้ำ MTIเน้นก

ารบริหารความเสี่ยงด้วยสัดส่วนงานที่เหมาะสม หนุนงบ 6 เดือนแกร่ง ขณะที่เคลมโควิด 4 พันล้านบาท ไร้ผลกระทบ

นายวาสิต ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุดด้านการขายและการตลาด บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI กล่าวว่า ในปี 2565 MTI ตั้งเป้าเติบโต 6-10% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทยที่คาดว่าจะโต 2.5%โดยปัจจัยหนุนการเติบโตมาจากหลายปัจจัย ทั้งการดำเนินชีวิตที่กลับมาเป็นปกติหลังโควิด-19 ทำให้มีการใช้รถใช้ถนนมากขึ้น การลงทุนของภาครัฐ และเอกชน รวมถึงคู่แข่งในธุรกิจที่ลดลงจากการปิดบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากเคลมโควิด

“การปิดตัวของบริษัทประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากเคลมโควิด ทำให้มีเบี้ยบางส่วนไหลเข้ามายังบริษัทประกันภัยหลายแห่งที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน ในส่วนของเราก็ได้งานจากตรงนี้เช่นกัน แต่การรับงานก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของเราเช่นกันคือ อัตราเบี้ยที่เหมาะสมสอดคล้องกับความเสี่ยงของงานนั้นๆ”

ในส่วนของประกันโควิด-19 ทาง MTI มีอยู่ราว 1.4 แสนกรมธรรม์ ปัจุบันความคุ้มครองเกือบ 100% สิ้นสุดลงไปตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยมียอดเคลมรวมราว 4 พันล้านบาท ซึ่งนายวาสิต กล่าวว่า MTIไม่ได้รับผลกระทบจากส่วนนี้เนื่องจากมีการทำประกันภัยต่อ และจะเห็นได้จากงบการเงินครึ่งแรกปีนี้ MTIไม่ได้รับผลกระทบจากเคลมโควิด

นายวาสิต กล่าวถึง แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ว่า ยังคงเน้นขยายงานผ่านพันธมิตร และปรับปรุงระบบการทำงานด้วยการดึงเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน ซึ่งนอกจากเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแล้วยังเป็นการลดต้นทุนธุรกิจในระยะยาวด้วย เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของ MTI ให้ติดอันดับ ท็อป 5 ต่อไป รวมถึงพิจารณายานตลาดออกไปโตต่างประเทศในภูมิภาค CLMV และ อาเซียน

“นอกจากตลาดที่เรามีอยู่แล้วใน สปป.ลาว เรายังเห็นโอกาสการเติบโตในตลาดเวียดนามด้วยประชากรกว่า 100 ล้านคน การเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ทำให้เวียดนามเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจลงทุน ซึ่งเราอยู่ระหว่างการศึกษา และหาพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงตลาดในภูมิภาค CLMV และ อาเซียนด้วยที่เรากำลังมองหาโอกาส”

นายวาสิต กล่าวว่า MTI มุ่งขยายตลาดผ่านการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อให้สามารถนำผลิตภัณฑ์ของ MTI ไปวางขายบนช่องทางออนไลน์ของพันธมิตรได้ ส่งผลให้สามารถขยายตลาดได้เร็วกว่าการขายบนเฉพาะแพลตฟอร์มของตัวเอง  รวมถึงการขยายเข้าไปรับงานประกันอีวี(EV)ทั้งที่เป็นรถยนต์  รถบัส และเรือ

นางปุณฑริกา ใบเงิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และ ผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน  บมจ. เมืองไทยประกันภัย หรือ MTI กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยง มีการกระจายสัดส่วนของงานที่รับประกันภัยอย่างเหมาะสม โดยให้สัดส่วนของงานประกันภัยรถที่ 58% ประกันเบ็ดเตล็ด (เช่นประกันความรับผิดต่อบุคคลภายนอก, ประกันไซเบอร์) 12% ประกันสุขภาพ และอุบัติเหตุ 12% ประกันสรรพภัย (IAR เช่น คุ้มครองภัยธรรมชาติ) 8% ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง (มารีน) 2% และประกันอัคคีภัย 8%

นางปุณฑริกา กล่าวต่อไปว่าจากการกระจายพอร์ตงานได้อย่างเหมาะสมทำให้ 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีอัตราค่าสินไหมลดลงมาอยู่ที่ 52.6% เทียบกับครึ่งแรกของปี 2564 อยู่ที่ 54.8% อัตรากำไรจากการรับประกันภัย อยู่ที่ 7.0% หรือที่ 287.3 ล้านบาท ดีขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2564 ที่ 192.8 ล้านบาท ส่วน กำไรสุทธิอยู่ที่ 477.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 25.7 ล้านบาท โดยมี CAR Ratio กว่า 250% สูงกว่ากฎหมายกำหนดที่ 140%

สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทมีเบี้ยรับรวม 8,806.1 ล้านบาท เติบโต 10.6% มีส่วนแบ่งทางการตลาด 6.6% อยู่ในอันดับที่ 5 ของธุรกิจที่มีบริษัทกว่า 50 แห่ง อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมประกันโควิดในปี 2564 ผลงานของ MTI 6 เดือนแรก จะเติบโตถึง 16.5% ทั้งนี้ แยกเป็นตลาดประกันภัยรถยนต์ บริษัทมีเบี้ยประกันอยู่ที่ 5,144.7 ล้านบาท โต 29.5% ส่วนแบ่งทางการตลาด 6.7% อยู่ในลำดับที่ 4 ของอุตสาหกรรม ส่วนประกันนอนมอเตอร์ มีเบี้ย อยู่ 3,661.4 ล้านบาท ลดลง 8.2% ส่วนแบ่งทางการตลาด 6.4%อยู่ในลำดับที่ 5 ของอุตสาหกรรม