นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2566 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ราว 10% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายกลุ่มรับจ้างผลิต (OEM) ในปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มรถไฟฟ้า (EV) โดยคาดว่าจะยอดขายจะเติบโตที่ 700 ล้านบาท และคาดว่ามาร์จิ้นจะอยูที่ราว 30% จากปี 2565 ที่ 500 ล้านบาท และในปี 2567 ที่ 1,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 2566 บริษัทเน้นกลยุทธ์การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยผลักดันให้มาร์จิ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งมีแผนรุกขยายไปในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดอียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตได้ดี
ขณะเดียวกันแผนความร่วมกับพันธมิตรลงทุนในประเทศอียิปต์มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งการตัดสินใจไปลงทุนสร้างโรงงาน และคลังสินค้าดังกล่าว บริษัทประเมินว่าจะช่วยสนับสนุนให้ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านค่าขนส่ง และภาษีนำเข้าได้เป็นอย่างดี และช่วยดันมาร์จิ้นให้เพิ่มขึ้นในส่วนของตลาดโซนแอฟริกาเหนือได้ไม่ต่ำกว่า 15%
"ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ยังน่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องจากปีก่อน เนื่องจากค่าเงินบาทได้กลับมาอ่อนค่าทะลุ 35.13 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปีของบริษัทที่ 34.80 ในปี 2565 นอกจากนี้บริษัทยังคงเน้นกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนทั้งทางด้านค่าขนส่ง พลังงาน และหาโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ที่มี GP สูงๆ ซึ่งจะทำให้บริษัท สามารถรักษาประสิทธิภาพการทำกำไรในระดับที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ" นายสมพล กล่าว
ทั้งนี้บริษัทได้วางงบลงทุนแม่พิมพ์ในปี 2566 ไว้ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตได้มากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ติดตั้งเครื่องฉีดใหม่เพิ่มอีก 5 เครื่อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตส่วนของกันชนอีกราว 20% หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40,000 ชิ้น โดยจะทำให้มีกำลังการผลิตรวมถึง 200,000 ชิ้นต่อเดือนในกลุ่มกันชน ช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยได้กว่า 10% โดยการลงทุนในครั้งนี้จะได้สิทธิประโยชน์ภาษี จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นระยะเวลา 5 ปี
โดยรายได้ในปี 2565 เติบโตอยู่ที่ 2,679.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.4% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 2,136.60 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 408.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.2% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 329 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท มาจากปัจจัยที่การเติบโตของธุรกิจ ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นรับรู้ผลพลอยได้การอ่อนค่าเงินบาท โดยอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉลี่ยในปี 2565 อยู่ประมาณ 34.80 เทียบกับ 33 บาท ในปี 2564 ซึ่งจะส่งผลบวกให้กับบริษัทในปี 2565 เฉพาะการส่งออกประมาณ 4.4% โดยหลังจากนี้บริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตที่ระดับ 10% เฉลี่ยทุกปี
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 121.04 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่บริษัทได้จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วจำนวน 0.08 บาท
สำหรับผลประกอบการของบริษัทงวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 จะรวมเป็นเงินปันผลจ่ายในปี 2565 ทั้งสิ้น จำนวนหุ้นละ 0.16 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิน 242.08 ล้านบาท โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฎ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 26 เมษายน 2566 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าว ยังไม่มีความแน่นอน เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ได้ทุกช่องทางเหล่านี้
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/c/ThunhoonOfficial
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1
Instagram คลิก https://instagram.com/thunhoon.news?igshid=YTY2NzY3YTc=
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา อ่านเพิ่มเติม