> SET > MTC

22 มีนาคม 2024 เวลา 16:43 น.

'ทริส' จัดเรทติ้งหุ้นกู้ชุดใหม่ MTC มูลค่า 7 พันลบ.ที่ระดับBBB+

#ทริส#ทันหุ้น-ทริส จัดเรทติ้งหุ้นกู้ชุดใหม่MTC มูลค่า 7 พันลบ.ที่ระดับ BBB+แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable หวังนำเงินชำระคืนหนี้-ขยายพอร์ตสินเชื่อ


ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มี หลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7 พันล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 3 ปีของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และขยายพอร์ตสินเชื่อ


อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Title Loan) ฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่หลากหลายและเพียงพอของบริษัทอย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงจากความกังวลของทริสเรทติ้งที่มีต่อคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งมีแนวโน้มอ่อนแอลง โดยปัจจัยดังกล่าวอาจเป็นข้อจํากัดต่อความสามารถในการทํากําไรของบริษัทในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า


การที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันที่มีมาอย่างยาวนานและการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องนั้นช่วยทำให้บริษัทยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในอันดับต้น ๆ ของธุรกิจดังกล่าวต่อไปได้ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ระดับ 1.43 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ระดับ 19% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 17% ทริสเรทติ้งคาดว่าพอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะยังคงเติบโตในระดับตัวเลขหลักเดียวปลาย ๆ ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจาก

การเติบโตของสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน (Auto Title Loan)


ในปี 2566 คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทอ่อนแอลงอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมของธุรกิจสินเชื่อที่ยังมีความท้าทาย โดยอัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตหรือลูกหนี้ชั้นที่ 3 (NPL) ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 3.1% ณ สิ้นปี2566จากระดับ 2.9% ณ สิ้นปี2565 นอกจากนี้ อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ย (ต้นทุนด้านเครดิต) ของบริษัทเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 3.7% ในปี 2566 จากระดับ 2.6% ในปีก่อนหน้า ถึงแม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 แต่ก็มีแนวโน้มอ่อนแอลงจากสภาพแวดล้อมของธุรกิจสินเชื่อที่เปราะบางอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงบริหารจัดการคุณภาพลูกหนี้โดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ในระยะยาวบริษัทยังคงตั้งเป้าหมายที่จะรักษาระดับ NPL Ratio ให้ต่ำกว่า 3.2% โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันซึ่งเป็นสินเชื่อที่ยังคงมีอัตราการค้างชำระหนี้ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอลงแล้วเห็นว่าบริษัทน่าจะมีความระมัดระวังที่จะรักษาอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL Coverage Ratio)ให้อยู่ที่ระดับสูงเอาไว้โดย ณ สิ้นปี 2566 NPL Coverage Ratio ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 116%


ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทในปี 2566 ลดลงปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าโดยบริษัทมีกำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 4.9 พันล้านบาท หรือลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและต้นทุนในการกู้ยืมที่เพิ่มสูงขึ้นถึงแม้ว่ารายได้จากดอกเบี้ยรับจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ตาม ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของบริษัทจะยังคงสูงต่อไปในช่วงระหว่างปี 2567-2568 เนื่องจากต้นทุนด้านเครดิตมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่าสัญญาณการเสื่อมถอยของคุณภาพสินทรัพย์ยังคงดำเนินต่อไป


ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทซึ่งวัดโดยอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/ARWA) นั้นอยู่ที่ระดับ 3.9% ในปี2566 ถ้าหาก EBT/ARWA ของบริษัทลดต่ำลงกว่า 3.5% เป็นระยะเวลาต่อเนื่องก็อาจส่งผลให้อันดับเครดิตอยู่ภายใต้แรงกดดัน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงรักษาอัตราส่วน EBT/ARWA ให้อยู่ที่ระดับราว ๆ 4% ในช่วงระหว่างปี 2567-2568 ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มสูงขึ้นและมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงก็ตามโดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดีด้วยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมที่ระดับประมาณ 40%


ในส่วนของฐานทุนนั้น บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยง (Risk-adjusted Capital -- RAC) Ratio) ที่ยังคงแข็งแกร่งที่ระดับประมาณ 19%ณ สิ้นปี 2566 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity (D/E) Ratio) ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ระดับ 3.7 เท่าเมื่อเทียบกับ D/E Ratio ที่ระดับ 4เท่าที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขทางการเงินที่สำคัญ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าความเข้มแข็งของฐานทุนของบริษัทจะมีผลกำไรที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ระมัดระวังคอยช่วยประคับประคองเอาไว้


ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทมีสถานะเงินทุนและสภาพคล่องที่อยู่ในระดับเพียงพอ การที่บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุน รวมทั้งการมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งนั้นช่วยให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอและหลากหลายซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อและช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องลงได้ทั้งนี้ณ เดือนธันวาคม 2566 บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมทั้งสิ้นจำนวน 4.34 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 8% ของวงเงินดังกล่าวนั้นยังไม่มีการเบิกใช้นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินต่างประเทศบางแห่งซึ่งจะสามารถเบิกถอนได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2567 อีกด้วย


แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทน่าจะสามารถปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นได้ในระยะ12 เดือนข้างหน้าและผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจะมีแนวโน้มที่ลดลง นอกจากนี้ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะผู้นำตลาดในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันเอาไว้ได้ต่อไปในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้


ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทไม่มีสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นยังคงอยู่ในระดับสูงและความสามารถในการสร้างผลกำไรซึ่งวัดโดย EBT/ARWA ลดต่ำลงกว่า 3.5% การปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตคาดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทมีสถานะเงินทุนที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญโดยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 25% ในขณะที่ความสามารถในการสร้างผลกำไรและสถานะทางการตลาดของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง


รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่

FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/

YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA

Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_

LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5

TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news

Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1



จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อ่านต่อ

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X