> กองทุน >

01 เมษายน 2024 เวลา 12:00 น.

บลจ.ลุ้นรัฐเร่งเครื่องเบิกจ่ายงบ หนุนSETปลายปีนี้ทะลุ1,500จุด

#KSAM #UOBAM #ทันหุ้น กองทุนมองแรงหุ้นไทย บลจ.กรุงศรีให้ตัวเลขดัชนีปลายปี 67 ที่ 1,552 จุด ส่วนบลจ.ยูโอบีให้แค่ 1,480 จุด แต่หากมีปัจจัยหนุน มีโอกาสแตะ1,570 จุด ประสานเสียง เบิกจ่ายงบรัฐได้ไวเป็นปัจจัยหนุน และสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก แนะยังควรจัดพอร์ตการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์


นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด หรือ KSAM มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ว่า ยังมีความน่าสนใจจากการปรับตัวลดลงมาและมีอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยบวกสำคัญในระยะสั้นคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล คาดการณ์ว่าแนวโน้มหุ้นไทยจะได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น และมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลังจากขายออกไปกว่า 1.92 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา


ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า SET Index ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 1,552 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 9.61% จากสิ้นปี 2566 บนสมมติฐาน EPS ที่ 96.8 บาท และค่า PER ที่ 16 เท่า


โดยมีมุมมอง เศรษฐกิจไทยปีนี้ สภาพัฒน์ คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัว 2.2-3.2 % โดยมีค่ากลาง อยู่ที่ 2.7% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 2.7 -3.7% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชน และภาคการส่งออกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดหลักที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น และอาเซียน ขณะที่การส่งออกไปยังจีน และยุโรป ปรับตัวลดลง การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีนี้


ซึ่ง นายศิระ ชี้ว่า ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet) และภัยแล้งจากเอลนีโญ


ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศปี 2567 มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นหากเปรียบเทียบกับช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแต่อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ได้ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปและอยู่ในระดับขอบล่างของเงินเฟ้อเป้าหมายที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 1.00 - 3.00%


ดังนั้นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนมีโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อีก การปรับอายุคงเหลือเฉลี่ยกองทุนด้วย กลยุทธ์เชิงรุกช่วยเพิ่มโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุนได้จากความผันผวนของตลาดตลอดทั้งปี ทั้งนี้ แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ยาวขึ้นควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพดี


*มอง SET 1,480 จุด

ทางด้าน นางสาววรรณจันทร์ อึ้งถาวร รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOBAM มองว่าตลาดหุ้นไทยปีนี้ จะปิดที่ 1,480 จุด แต่หากว่า มีปัจจัยบวก ทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐได้เร็ว ความชัดเจนของดิจิทัล วอลเล็ต รวมถึงการเที่ยวที่ขยายตัวได้ตามคาดก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นปลายปี ปิดที่ 1,570จุดได้


“ตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ในไตรมาสที่ 4/2566 ปรับตัวลดลง โดยเผชิญกับแรงขายต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่ลดลงและความกังวลในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ตรงจุดและเพิ่มภาระทางการคลังในระยะยาว รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามาช้ากว่าที่คาด และความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลกที่กระทบต่อภาคการส่งออก”


บลจ.ยูโอบี มีมุมมองว่าการบริหารความเสี่ยงท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นควรต้องคัดสรรและการกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์ควบคู่กันไปด้วย จึงแนะนำให้ลดน้ำหนักการถือครองเงินสดและตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น เนื่องจากวัฏจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนทั่วโลก เนื่องจากพันธบัตรรัฐ หรือตั๋วเงินคลัง  (Treasury) ที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ระดับยิลด์ (Yield) ในฝั่งหุ้นกู้ที่มีเครคิต (Credit) มีความน่าสนใจมากกว่า


ในขณะเดียวกันแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงกว่า จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ส่วนต่างของผลตอบแทน (Yield) ระหว่างหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนและพันธบัตรรัฐบาล หรือ Credit Spread ปรับตัวลดลงได้อีก ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ยังคงต้องอาศัยการคัดสรรตราสารที่มากขึ้น (Selection) เช่น การใช้ปัจจัย ESG เพื่อคัดกรองบริษัทที่มีคุณภาพและช่วยลดความผันผวน และ ดาวน์ไซด์ (Downside) จากการลงทุน


ในขณะเดียวกันได้เพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มประเทศในฝั่งเอเชียที่มีแวลูเอชั่น Valuation ที่น่าสนใจและมีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลกลับหลังจากทิศทางดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยการจัดสรรการลงทุนดังกล่าว เราเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงได้แม้ในช่วงเวลาที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง

จาก
ถึง
Select...
หุ้น
Select...
หัวข้อ
Select...

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น การใช้งานเว็บไซต์นี้เป็นการยอมรับข้อกำหนดและยินยอมให้เราจัดเก็บคุ้กกี้ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา  อ่านเพิ่มเติม

X