ทันหุ้น –บิ๊ก BTS ลั่น!.. เดินงานตามแผน มั่นใจกำไรสุทธิโต 25-30% ต่อปี แย้มเร่งเจรจากทม.อาจเปิดบริการสายสีเขียวเหนือเร็วกว่ากำหนดดันรายได้รับจ้างเดินรถฯ ปีบัญชี 2563/2564 พุ่ง ย้ำงานโยธาสีชมพู-สีเหลืองได้ตามเป้าเปิดบริการปี 2564 ด้านนักวิเคราะห์ระบุมีข่าวดีรออยู่ทั้งขยายสัมปทานเดินรถ และสนามบินอู่ตะเภา คง “ซื้อ” มีลุ้นปรับเป้าขึ้นจาก 15.20 บาท

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา. กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ยืนยัน BTS Group ยังคงดำเนินงานตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง และจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิไว้ที่ 25-30% ตามแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี โดยธุรกิจรถไฟฟ้ายังคงเป็นธุรกิจหลักทั้งรายได้จากสัมปทานเดินรถไฟฟ้า (สายสุขุมวิท), รายได้จากงานรับจ้างเดินรถ-พัฒนาระบบรถไฟฟ้า, และรายได้จากการก่อสร้าง

ทั้งนี้หลังเปิดทดลองให้บริการรถไฟฟ้าสาย สีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่- คูคต เพิ่มอีก 4 สถานี ได้แก่ สถานีพหลโยธิน 24, สถานีรัชโยธิน, สถานีเสนานิคม, และสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา BTS Group มั่นใจว่าจํานวนผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าสายหลัก (สายสุขุมวิท) ทั้งปี 2562/2563 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2563) จะเติบโต 4-5%

แย้มเขียวเหนือเปิดเร็วกว่ากำหนด

นายสุรพงษ์ กล่าวถึงความคืบหน้างานโยธา – งานระบบเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย สายสีเขียวเหนือว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับทางกรุงเทพมหานครฯ เพื่อทดลองระบบการเดินรถจากสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถึงสถานีอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ถนนพหลโยธินในช่วงกลางปี 2563 ทั้งนี้หากทางกรุงเทพมหานครฯ อนุมัติตามข้อเสนอของทางบริษัท การเปิดให้บริการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือทั้งเส้นทางถึงสถานีคูคตก็น่าจะเริ่มทดลองให้บริการได้เร็วกว่ากำหนดการเดิม คือช่วงสิ้นปี 2563 สำหรับงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย - มีนบุรี) รวมระยะทาง 34.5 กิโลเมตร, สายสีเหลือง (ลาดพร้าว - สำโรง) รวมระยะทาง 30.4 กิโลเมตร, และสายสีทอง ระยะทาง 2.8 กิโลเมตรยังคงเดินหน้าตามกรอบเวลา

“สำหรับสายสีเขียวเหนือ เราอยู่ระหว่างเจรจากับทางกทม.ว่าจะทยอยเปิดให้บริการเป็นช่วงๆ ทั้งนี้หากทางกทม.เห็นด้วย ก็คาดว่าจะเปิดทดลองระบบ และทดลองให้บริการเดินรถถึงช่วงสถานีอนุสรณ์สถานแห่งชาติได้ช่วงกลางปี 2563 และน่าจะเปิดทดลองให้บริการถึงสถานีคูคตได้เร็วกว่ากำหนดการ  ในส่วนของสายสีชมพู และสายสีเหลืองก็จะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2564 ตามกำหนด”

พร้อมกันนี้นายสุรพงษ์ ยืนยัน BTS Group ยังคงมองหาโอกาสการเติบโนทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงเน้นกลยุทธ์การผนึกพันธมิตรเข้าลงทุนในธุรกิจที่เหมาะสม มีศัยกภาพการทำกำไรในระยะยาว ดังที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ รวมมือกับบริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย, ผนึกพันธมิตรในนาม “กิจการร่วมค้า” เข้าประมูลโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐบาลตามความเหมาะสม

ยืนยันฐานธุรกิจแข็งแกร่ง

นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ BTS มีโครงการทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะธุรกิจรถไฟฟ้าที่ยังคงสร้างอัตรากำไรให้กับ BTS ได้อย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดการณ์กำไรสุทธิขยายตัวต่อเนื่อง 2 ปี โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2562/2563 (ปิดรอบบัญชีมีนาคม 2563) ของ BTS ที่ 3.85 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1% เมื่อเทียบกับปีงวดปี 2561/2561 (YoY) และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 30.7% มาอยู่ที่ 5.04 พันล้านบาทในปี 2563/2564 ตามการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจโดยธุรกิจรถไฟฟ้าจะมีรายได้จากการให้บริการงาน E&M และจัดหาขบวนรถไฟฟ้าที่ 3,157 ล้านบาทจากปีก่อนที่มีรายได้ 1,633 ล้านบาท ควบคู่กับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ,  ธุรกิจสื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้บริการสื่อดิจิทัล, ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มขาดทุนลดลง

ทั้งนี้ที่ผ่านมาBTS เริ่มขยายไปยังกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ทั้งธุรกิจการศึกษา และสาธารณูปโภคที่นอกเหนือจากรถไฟฟ้า โดยดำเนินการในลักษณะของบริษัทร่วมทุน ซึ่งที่ผ่านมา BGSR ที่ BTS ถือหุ้นอยู่ 40% ก็ชนะประมูลโครงการมอเตอร์เวย์ 2 สาย มูลค่าสัญญา 61.1 พันล้านบาท และโครงการล่าสุดที่ใกล้จะทราบผลการประมูลเร็วๆนี้ คือ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) มูลค่ารวม 2.9 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ BTS ยังมีปัจจัยบวกรออยู่ คือ ยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาต่ออายุสัญญาสัมปทานโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ซึ่งหากรัฐบาลยังคงยืดแนวทางที่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะชน คือยึดค่าครองชีพประชาชนเป็นหลัก ก็คาดว่า BTS จะได้ต่ออายุสัญญาออกไปอีก 30 ปี  จะถือเป็นปัจจัยเพิ่มมูลค่าหุ้นขึ้นประมาณ 4 บาทต่อหุ้น จากราคาเหมาะสมปี 2563 ที่ 15.20 บาทคงคำแนะนำ “ซื้อ” (หากได้ต่อสัมปทานมูลค่าเหมาะสมเพิ่มเป็น 19.20 บาท)